Monday, January 28, 2008

WilliamsTown

วันนี้วันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชยเนื่องจากวันเสาร์ที่ 26 มกราคมเป็นกองทัพไทย เอ้ย เป็นวันชาติของ ออสเตรเลีย (มิน่าวันนั้น F16 หรือ Fอะไรไม่รู้ บินกันเกลื่อนน่านฟ้า เมลเบิร์น อยู่ในห้องได้ยินเสียง ซูมมมมมมม ซูมมมมมมม ผ่านไปผ่านมาหลายรอบ พอวิ่งไปหยิบกล้องมาก็บินหนีกันหมดไม่รอกันบ้างเลย)

วันนี้ก็เลยออกไปข้างนอกสูดอากาศถือเป็นการทดสอบครีมกันแดดให้มารแม่ ตอนแรกว่าจะไปเหมืองทองไปขุดทอง แต่เกิดขี้เกียจตื่นเช้า ก็เลยตัดสินใจว่า ไป Williams Town ละกัน ใกล้ๆแค่นี้ ไปทะเลกันเลยทีเดียว ทดสอบครีมกันแดด SPF 30

ตื่นนอนมา อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกเดินทางจากบ้าน ไปถึงสถานี Melbourne Central ช้าไปเพียง หนึ่งนาทีเท่านั้น พอเหยียบเท้าลงจากบันไดเลื่อนไปบน Platform 3 รถไฟที่จะไป Williams Town ก็เคลื่อนตัวออกไปซะงั้น เลยต้องรออีก ยี่สิบกว่านาที กว่าคันใหม่จะมา การเดินทางไป Williams Town นั้น ถ้าขึ้นรถไฟจาก Melbourne Central ก็ขึ้นสายที่ไป Werribee ลงที่ New Port เพื่อต่อรถไฟสาย Williams Town อีกต่อนึงก็ถึง Williams Town แล้ว ใช้เวลาเดินทาง ก็ประมาณ 45 นาที ที่ Williams Town มีป้ายรถไฟอยู่สามป้าย North Williams Town, Williams Town Beach Station และ Williams Town บีเลือกลงที่ Beach Station ก่อน เดินลัดเลาะริมทะเล ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ บรรยากาศดูเหงาๆมะ ผู้คนบางตา อันนี้เป็นรถที่จับภาพได้ระหว่างการเดินทางจาชายหาดเข้าสู่ตัวเมือง รถโบราณออกมาวิ่งเล่นกินลม
เดินไปเรื่อยๆใช้เวลา ชั่วโมงครึ่ง ก็เดินมาถึง ตัวเมือง Williams Town วันนี้ที่ท่าเรือในเมืองเค้ามีเรือมาแสดง เป็น เรือชื่อ James Criag มาจาก Sydney เปิดให้ขึ้นไปเดินเล่นบนเรือได้โดยค่าขึ้นเรือนั้นแล้วแต่จะให้ ไม่มีกำหนดว่าต้องจ่ายเท่าไหร่หน้าตาเป็นแบบนี้ส่วนนี่ก็เป็นรูปโบราณที่เค้าเอามาโชว์ว่าถ้ามันเล่นจริงในทะเลกางใบออกหน้าตาก็คงจะประมาณนี้
ข้างล่างนี่เป็นรูป Steam Boat ที่จอดอยู่ข้างๆกัน ดูดีๆจะเห็นควันด้วยนะ เห็นแท่งๆสีขาวข้างหน้ามั้ย เป็นปั๊มน้ำมันไซส์จิ๋ว น่ารักมากเลยทีเดียว
จากท่าเรือ สามารถมองเห็นตัวเมืองเมลเบิร์นได้ดังที่เห็นในรูปอาหารกลางวันวันนี้เลือกกิน Pasta ร้านในตัวเมือง Williams Town จำชื่อร้านไม่ได้ รสชาติไม่อร่อยอย่างแรง แถม ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้กินไม่อร่อยก็คือ แผนที่เมือง Williams Town ที่ได้มาจาก information center ดันไปติดโต๊ะเค้าเสียนี่ พยายามดึงออกมา โต๊ะเค้าก็เป็นรอยตัวหนังสือ และมีร่องรอยกระดาษแปะอยู่บนโต๊ะ จ่ายเงินค่า สปาเกตตี้เสร็จก็รีบเผ่นจากร้านอย่างรวดเร็ว จากตัวเมืองก็เดินไปขึ้นรถไฟกลับมาที่ตัวเมืองเมลเบิร์น ขากลับเลือกลงที่ สถานี Souther Cross เพราะตั้งใจจะแวะ Outlet ที่ชื่อ DFO แต่เนื่องจากเป็น Outlet Australia สินค้าก็ไม่ได้ลดราคาลงมาก แต่ก็มีบางร้านอยู่ในช่วงโปรโมชั่นลดราคา 80% พอเดินออกจาก DFO เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน มองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นดังนี้

จบวันนี้ด้วยการได้ของที่ระลึกจาก DFO มาเล็กน้อย กลับบ้านพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เตรียมตัวไปนั่งว่างๆที่ออฟฟิศในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป

ปล. ไว้จะซื้อกันแดดไปฝากมารแม่อีกขวดนึง เนื่องจากทดสอบแล้ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มีกลิ่น ที่สำคัญ เดินตากแดดสองสามชั่วโมงกลับมายังไม่ได้ดำ อิ อิ อิ

Saturday, January 19, 2008

Pride

เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ชื่อ Pride แนะนำให้ดูโดยมารแม่ของน้องธีร์ ดูแล้วชอบ สนุกดี เป็นเรื่องของพระเอกที่ชื่อ "ฮารุ" ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ฤดูใบไม้ผลิ นักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง และ นางเอกที่ชื่อ "อากิ" ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ฤดูใบไม้ร่วง สาวออฟฟิศ ไม่ใช่ "คากิ" แต่อย่างใด ซึ่งถ้าดูจากชื่อแล้วพระเอกและนางเอกเป็นสองฤดูที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ เนื้อเรื่องจะเป็นยังไง ไปหาดูเอาเองดีกว่า ไม่เล่าละ เดี๋ยวรู้หมด (จริงๆ แล้ว ขี้เกียจพิมพ์ตะหาก :P)

วันนี้เนื่องจากอยู่ว่างๆ ถูก พ่อ แม่ พี่ น้อง และ หลานตัวน้อย ทอดทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ก็เลยต้องนั่ง browse อะไรเล่นไปพลางๆ แล้วก็บังเอิญเจอ สิ่งที่เคยโหลดเก็บเอาไว้ ก็เลยเอา เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้ฟังกันเป็น sample เผื่อว่าคนที่ยังไม่ได้ดูเห็นแล้วจะอยากดูและไปหามาดูบ้าง จะได้แบ่งปันความสนุกสนานจากหนังเรื่องนี้ด้วยกัน

เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เอามาให้ฟังสองเพลงเป็นของวง Queen ทั้งสองเพลง เพลงแรกเค้าบอกว่า "ฉันเกิดมาเพื่อรักเธอ" แต่ "ถ้ารักมากเกินไป มันก็อาจจะฆ่าเราได้เหมือนกัน" นั่นคือเพลงที่สอง

Too much love will kill you, it'll make your life a lie.

Yes, too much love will kill you, and you won't understand why.

You'd give your life, you'd sell your soul. But here it comes again

Too much love will kill you ... In the end

--- MAY BE ---

another saturday

วันเสาร์ เป็นวัน วันหนึ่งในอาทิตย์ที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เป็นวันที่ นอนตื่นสาย ทำโน่นทำนี่ได้ ทำตัวเรื่อยเปื่อยได้ แต่วันนี้ที่เมลเบิร์น ฟ้าเป็นสีหม่นๆ ฝนตกกันตั้งแต่เช้า จากเดิมที่เคยมีโปรแกรมว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยว หรือ ไม่ก็ไปนอนอ่านหนังสือเพลินๆที่สวน ก็อดไปเสียทุกอย่าง กลายมาเป็นวันนอนเล่นอยู่กะบ้าน อ่านหนังสือ ดูหนัง ดูดฝุ่น ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า และ นอนหลับพักผ่อน เอารูปที่ถ่ายเล่นๆจากระเบียงหน้าห้องมาฝาก เนื่องจากมันเป็น panorama view เลยกลายเป็น image จิ๋วไปซะอย่างงั้น ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... อัพมันทั้งจิ่วๆอย่างงี้ละกัน ขี้เกียจแก้ ... อิ อิ อิ

Saturday, January 12, 2008

วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม

วันนี้มีโอกาสได้ไปดู Phantom of the opera ที่จัดการแสดงที่เมลเบิร์นมาได้เกือบปี เค้าจะเลิกเล่นที่เมลเบิร์นในวันที่ 20 มกราคมนี้แล้ว เลยถือโอกาสไปดูสักหน่อย ไหนๆ เค้าก็มาเล่นให้ดูที่เมลเบิร์นแล้วตั๋วที่ได้เป็นตั๋วรอบบ่ายสองวันเสาร์ เป็นตั๋วราคาถูกที่สุดแต่ไม่ใช่ตั๋วราคาถูกพิเศษที่สุด (งงมั้ย อิ อิ อิ) คือจะบอกว่า มันจะมีตั๋วแบบราคาถูกพิเศษสุดๆแต่ต้องจองแบบรอบโดดงานไปดูแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่ อันนั้น ถูกสุดๆ Phantom of the opera นี้เล่นที่ Princess Theatre ซึ่งอยู่ที่ Spring Street ห่างจากที่พักประมาณ สองถนน บีก็เลยเริ่มออกเดินทางจากบ้านตอนบ่ายโมงนิดๆ เพราะกะว่าจะแวะเดินเล่น ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยก่อนด้วย นี่คือหน้าตาของ โรงละคร แล้วก็เหมือนทุกที่ ในโรงละครก็ต้องมีร้านขายของที่ระลึกเช่น เสื้อยืด หมวก ร่ม เข็มกลัด ที่ติดตู้เย็น
โรงละครนี้ จะอยู่เยื้องๆกับ Parliament 0f Victoria ที่เห็นในรูปข้างล่าง คนที่เห็นในรูปคือคุณตำรวจ ยืนตรวจตราความสงบทั่วไปของบริเวณนั้น และแถวโรงละครก็มีสถานีรถไฟด้วย ชื่อ Parliament Station ทางขึ้นลง จะหน้าตาดี ดูไม่อึดอัดและทึบๆ ออกจะเป็นจีนๆด้วยซ้ำ เพราะมีสิงโตจีนเฝ้าทางเข้าอยู่สองด้าน คนที่ไปดูละครวันนี้ค่อนข้างเยอะ ที่นั่งเต็มหมดทุกที่ โรงละครนี้ใหญ่กว่าตอนที่ไปดู Priscilla มากนัก เพราะมีถึงสามชั้น คราวนี้ บีต้องไปนั่งที่ชั้นสอง และพอไปเห็นที่นั่ง ก็รู้ว่าทำไมตั๋วใบนี้ถึงราคาถูก ... ก็เพราะมันมีเสาต้นนึงมาบังวิวไว้ แต่ก็ไม่ถึงกะบังมิด เพียงแต่ต้องขยับซ้าย ขวา บ่อยๆหน่อย ทำให้ตื่นตัวตลอดเวลาในการดู ข้างล่างนี่เป็นบรรยากาศด้านหน้าทางเข้าส่วนนี่ก็เป็นเพดานในโรงละคร ดูสวยดีเหมือนกัน รูปนี้เป็นเพดานโรงละครชั้นสอง
สำหรับเรื่อง Phantom of the Opera นี้ เนื้อหาก็งั้นๆ ขนาดมีเสามาบังให้ตื่นตัวตลอดเวลา บียังดูแล้วเผลอหลับไปประมาณสิบห้านาที ตอนต้นๆเรื่อง ด้วยความที่มันเดินเรื่องช้ามาก คนร้องก็ร้องเพลงเสียงโอเปร่า ช่างเป็นการกล่อมที่ดีจริงๆ แต่ช่วงหลังๆเริ่มสนุก ฉากที่เค้าทำใหญ่โตอลังการและสวยงามมากเช่น ฉากทีphantom พานางเอกลงเรือเพื่อมาที่บ้าน เค้าทำเหมือนจริงมากๆ คือดูแล้วเหมือนล่องเรือจริงๆ นอกจากนั้นแล้ว ถ้ามีฉากตื่นเต้นทีไร ก็จะอลังการสุดๆ และสามารถทำให้ผู้คนในโรงละครแตกตื่นและตื่นเต้นตามไปด้วยได้ทุกครั้ง สังเกตุได้จากเสียงวีดว้ายของผู้ชม สรุปโดยรวมก็โอเค แต่ก็ไม่ได้ถึงกะชอบมากถึงขนาดจะต้องไปดูอีกรอบ
พอละครจบ ก็ออกมาเดินเล่น เดินไป เดินมา เดินมา เดินไป ก็ไปนั่งเล่นในสวน ซึ่งต้นไม้เยอะมาก แถมอากาศวันนี้เย็นกำลังสบาย อากาศที่สวนน่านอนเล่นมากๆเลย ปิดท้ายวันนี้ด้วยรูปที่ถ่ายตอนกำลังเดินกลับที่พัก รูปแรก คือคอนโดที่บีอาศัย ที่ดูเป็นแท่งบางๆอยู่ตรงกลางนั่นแหละ รูปที่สองมหาวิทยาลัยชื่อดัง RMIT ซึ่งสร้างอยู่บนสถานที่ที่เคยเป็นคุกโบราณมาก่อน (-"-) จะว่าไป คุกที่ติดกะ RMIT เค้าก็ยังไม่ได้ทุบทิ้ง ยังเปิดให้ผู้คนเข้าไปเยี่ยมชมคุกโบราณได้ ส่วนรูปสุดท้ายเป็นมุมๆนึงของห้องสมุดที่อยู่แถวบ้าน ไว้มีโอกาสจะไปถ่ายรูปข้างในห้องสมุดมาให้ดู ได้ข่าวว่าเจ๋งอยู่แล้ววันนี้ก็ลาไปก่อนแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีค๊าบ (-/\-)

Thursday, January 10, 2008

ดัชนีวัดความสุข

ดัชนีวัดความสุขคืออะไร เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่า ความสุขของคนเราจะเอาดัชนีอะไรมาวัด ในเมื่อคนแต่ละคน แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แล้วเค้าเอาดัชนีอะไรมาวัดความสุข ที่สำคัญ เค้ามีดัชนีวัดความสุขของคนในประเทศซะด้วยนะเออ คิดออกมาเป็น Gross National Happiness กันเลยทีเดียวนะ เอาเป็นว่าใครรู้ช่วยบอกที

สำหรับบี ถ้าถามว่า ค่าความสุขของบีตอนนี้เป็นเท่าไหร่ อืม ... วัดจากความรู้สึกจริงๆ อาจจะให้ได้แค่ 5 เต็ม 10 เพราะบีมีความรู้สึกว่า ชีวิตบีมันขาด ขาดความสุขอีกครึ่งนึงไง :D จริงๆแล้วมันค่อนข้างยากในการเติมเต็มความสุขอีกครึ่งนึง โดยไม่รู้ว่า ความสุขอีกครึ่งนึงจะหาได้จากที่ไหน เราต้องการอะไร เราอยากเป็นอะไร และ เราอยากทำอะไร ดังนั้น วันนี้ลองสำรวจวัดความสุขกันแล้วหรือยังว่ามีค่าเป็นเท่าไหร่ ?

Tuesday, January 8, 2008

เวลา

ในที่สุดบล็อคน้องธีร์ก็อัพเดท หลังจากรอคอยมาหลายวัน งั้นก็ขออัพบล็อคบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้า เอ๊า ... แล้วเกี่ยวไรกันกับที่จั่วหัวไว้ว่า "เวลา"

เรื่องของเรื่องก็คือว่า บีมีความรู้สึกว่า เวลาที่เมืองไทย กะเวลาที่เมลเบิร์น มันเดินเร็วไม่เท่ากัน คิดดู อยู่ที่บ้าน หนึ่งวันผ่านไปไวยังก๊ะโกหก โดยเฉพาะวันที่มีน้องธีร์เป็นเพื่อนเล่น แป๊บๆหมดวัน แต่นี่มาอยู่เมลเบิร์น ตั้งแต่วันอาทิตย์บ่าย วันนี้นี่เพิ่งวันอังคาร ทำไมเวลา สองวัน มันถึงได้เดินช้าเหมือนเต่าคลาน ผ่านไปสองวันเหมือนอยู่มาแล้วสองเดือนเช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่จะถึงกุมภาพันธ์ล่ะ จะได้เดินทางกลับบ้าน

จะว่าไปกลับมาทำงานได้สองวัน มีความรู้สึกว่า ไอ้ตัวขี้เกียจที่ฝังร่างอยู่ในตัวชักจะขยันขันแข็งมากไป จนทำให้รู้สึกว่า ยังไม่อยากทำงานเลย ทำไมงานถึงได้น่าเบื่อเช่นนี้ ขี้เกียจสุดๆ ทำงานไป แช็ตไป อ่านเมเนเจอร์ ฟัง efm browse youtube ก็แล้ว เวลาแปดชั่วโมง ก็ผ่านไปช้าเจรงๆ พอถึงคราวเซ็งเป็ดมากทีสุด ไม่รู้จะทำอะไร ก็ใช้เวลาห้านาที reboot เครื่องเล่นซะเลย เป็นการฆ่าเวลา วันนึง reboot สัก สี่รอบ ก็ผลาญไปได้ 20 นาที (นี่ถ้าเจ้านายอ่านภาษาไทยได้ คงโดนกระโดดถีบ ไซด์คิก กำจัดตัวขี้เกียจให้สิ้นซาก)

เวลาที่เมลเบิร์นเดินช้า ... เค้าเบื่ออออออออ ... (บ่นเสร็จแล้วก็ไปนอนดีกว่า จะได้หมดวันไปอีกหนึ่งวันเร็วๆ) บ๊ายบายคับ

ปล. วันนี้ไม่มีรูป เพราะคนเขียน เกิดอาการเบื่ออย่างรุนแรง

Sunday, January 6, 2008

back to melbourne

ณ เมลเบิร์น
และแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ได้วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทบไม่น่าเชื่อว่า สามอาทิตย์ผ่านไปแล้ว คืนวันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2551 ก็ต้องเดินทางออกจากบ้านสายสี่ เพื่อเดินทางไป สนามบิน สุวรรณภูมิ ขึ้นเครื่อง มุ่งหน้าไปทำงานที่เมืองเมลเบิร์นและกลับมาเป็น น้าตู้ (เลียนแบบครูตู้)หรือ อีกนัยหนึ่งคือน้าสี่เหลี่ยมของธีร์อีกครั้ง (-"-) น้าเหลี่ยม ง่ะ ...

วันนี้เครื่องบินมาไวมาก ถึงก่อนกำหนดเวลาประมาณ 20 นาที ถึงประมาณ บ่ายโมงสิบนาที ใช้เวลาต่อแถวผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เร็วอีกเช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็เสร็จ พอเดินไปถึงสายพานเอากระเป๋า กระเป๋าก็มาถึงพอดี แถมที่ตรวจกระเป๋าก็ยังไม่ค่อยมีคนอีก เดินไปถึงก็ตรวจได้เลย โชว์เส้นเล็กต้มแซ่บสามซองเสร็จก็เป็นอันเสร็จพิธี แถวรอแท๊กซี่ก็ไม่มีคน พอเดินไปถึงก็ได้ขึ้นเลย ทุกอย่างรวดเร็วมาก คาดว่า ใช้เวลาทั้งหมดตั้งแต่ลงเครื่องจนถึงอพาร์ทเมนต์นี่น่าจะประมาณ ชั่วโมงครึ่ง

พอมาถึงอพาร์ทเมนต์ ตั้งใจจะโทรกลับไปบอกหม่าม๊าว่ามาถึงแล้วก็โทรไม่ได้ เนื่องจากบัตรโทรศัพท์หมดอายุ แบตโทรศัพท์บ้านก็หมด ต้องรอชาร์จ เงินมือถือก็หมดอีกเช่นกัน นอกเหนือจากนั้น ห้องก็สกปรกมั่กๆ ฝุ่นเยอะสุดๆ เพราะเท่ากับว่า ไม่ได้ทำความสะอาดมาเกือบเดือน พอมาถึงเลยต้องดำเนินการเก็บกวาด เปลี่ยนผ้าปูนอน ชาร์จแบตโทรศัพท์บ้าน ทำโน่นทำนี่ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามโมง พอทำโน่นทำนี่เสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่า ยังพอมี เครดิต Skype หลงเหลืออยู่บ้าง น่าจะใช้โทรหาแม่ได้ ก็เลย ตะรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด เข้ามือถือหม่าม๊า เพื่อรายงานตัว พอโทรไปถึง ก็รู้ว่า วันนี้เค้าพาสมธีร์ไปลงหม้อสุกี้ MK เป็นครั้งแรก หลังจากที่น้องธีร์ ได้รู้จัก MK มาสักพัก พอเห็นโลตัสปุ๊บ ธีร์กะจะพูด MK เหมือนกับจะรู้ว่า ที่ไหนมี โลตัส ที่นั่นมี MK คุยได้ไม่นานเท่าไหร่ก็วาง เนื่องจากน้องธีร์บอกว่า ไม่คุยด้วย ธีร์กิน MK อยู่

หลังจากที่รายงานตัวเสร็จ ก็ออกเดินทางไป china town เพื่อหาอะไรใส่ท้อง นับว่ามื้อแรกของวัน ได้กินตอนสี่โมงเย็น เนื่องจากไม่ได้กินอะไรเลยบนเครื่อง เลยหิวโซ มุ่งหน้าไป ร้าน NamLoong ก่อนเลย กิน Special Fried Rice ข้าวผัดใส่ กุ้ง หมูแดงและไข่ อร่อยและถูก อิ อิ อิ ราคา 6 เหรียญแต่ปริมาณข้าวมหาศาล แต่วันนี้คาดว่าน่าจะเป็นเพราะความหิวโซรู้สึกตัวอีกทีก็กินเกือบหมดจาน (--") นี่ ถ้ากินหมดจานจะน่ากลัวมาก เพราะปริมาณข้าวนี่น่าจะเท่ากับข้าวผัดจานใหญ่ในเมืองไทยที่สั่งมาแบ่งกันกินหลายๆคน

หลังจากอิ่มอร่อย รอดตายไปอีกหนึ่งมื้อก็เดินทางไป ร้านขายบัตรเติมเงิน ที่ร้านเค้ามี package ซื้อบัตรเติมเงิน 30เหรียญ กับ calling card โทรกลับเมืองไทย 10 เหรียญ ในราคา 35.50 เหรียญ ก็เลย ซื้อ calling card กลับมาเก็บไว้ก่อน เผื่อจะมีโอกาสได้ใช้โทรกลับบ้านในโอกาสต่อไป พอเติมเงินเสร็จ ก็ต้องไปซื้ออาหารมาตุนไว้ในตู้เย็น เนื่องตอนก่อนจะกลับบ้าน กำจัดอาหารที่มีอยู่ในตู้เย็นจนเกลี้ยง พอกลับมาก็ต้องสต็อกของกลับเข้าไปใหม่ พอซื้อข้าวของเสร็จ ก็กลับมาที่อพาร์ทเมนต์ เพื่อที่จะซักผ้า ซักไปสักพัก น้ำท่วม (T_T) เนื่องจาก สายยางที่ต่อลงท่อน้ำทิ้งหลุด เลยต้องทำการถูห้องอีกรอบ (T_T) หง่ะ ... เหนื่อย

ดังนั้นวันนี้ ต้องขอลาไปนอนก่อนอย่างรวดเร็วเพื่อเติมพลัง เมื่อคืนบนเครื่องบินก็ไม่ค่อยได้นอน มีเด็กผิวดำหน้าตาไม่น่ารัก(อีกแล้ว) ร้องเป็นระยะ โกรธ โกรธ ไม่น่ารักแล้วยังทำโวยวาย ชิ ...