Sunday, June 24, 2007

Mt. Buller - Ski Village

และแล้วหน้าหนาวก็มาเยือนที่เมลเบิร์น พวกเราคนไทยในเมลเบิร์น จำนวน 15 หน่วย ก็ได้ตกลงปลงใจว่า จะไปเล่นสกีกัน โดยออกเดินทางจากเมลเบิร์นตามสะดวก ณ วันศุกร์ มีรถไปทั้งหมดสี่คัน ...คันแรก สำหรับผู้ที่สามารถโดดงานได้ ออกเดินทางกันตั้งแต่บ่ายๆ วันศุกร์ คันที่สอง ตามตารางออกประมาณ ห้าโมงเย็น แต่ไม่รู้ออกจริงกี่โมง คันที่สาม ออกเดินทางจาก office ประมาณ หนึ่งทุ่มไม่เกิน และคันที่สี่คันสุดท้าย ซึ่งเป็นคันของบี ตามตารางคือ หกโมงตรงเป๋ง ออกเดินเท้าจาก office กลับบ้านไปเอาสัมภาระ แล้วไปเอารถ จากนั้น เดินทางไปสมาชิกเพื่อเอาสัมภาระ เมื่อประชากรในรถคันที่สี่ครบแล้ว ก็ออกเดินทางจากเมลเบิร์น คาดว่า ตอนนั้นก็ประมาณสัก สองทุ่มกว่า

จากเมลเบิร์น ก็มุ่งหน้าไป Mt. Buller ซึ่งขับไปทางเดียวกับที่จะไปซิดนีย์ แต่ซิดนีย์เหมือนจะต้องขับไปอีก เจ็ดร้อยกว่าโล ไกลโข ประมาณกรุงเทพเกือบๆเชียงใหม่ นั่งเครื่องเก๊าะชั่วโมงนึง แต่จากเมลเบิร์นไป Mt. Buller ใช้เวลาเดินทางถึง Mt. Buller ประมาณ สามชั่วโมงกว่าๆ เกือบสี่ชั่วโมง เมื่อไปถึงตีนเขา เค้าก็จะมีด่านตรวจเพื่อถามว่า มีโซ่ติดล้ออยู่ในรถหรือเปล่า ถ้าไม่มีเค้าไม่ให้ขึ้นเนื้องจากอันตราย เผื่อมีหิมะตก รถเราจะลงมาไม่ได้ถ้าไม่ได้ติดโซ่ ก็เลยต้องไปเช่า wheel chain ที่ร้านซึ่งอยู่ใกล้ๆด่านนั่นเอง เป็นเงินทั้งหมด 25 AUD ซึ่งโซ่ติดล้อนี้จะติดแค่สองล้อเท่านั้น หลังจากได้โซ่แล้ว ก็ต้องวนไปที่ด่านเพื่อจ่ายเงินค่าผ่านทางและค่าแท๊กซี่ขึ้น Mt Buller เนื่องจากตรง หมุ๋บ้านสกี เค้าจะให้ขึ้นได้เฉพาะคนที่มีบ้านอยู่บนนั้นเท่านั้น ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว ต้องจอดรถตรงที่เค้าเตรียมไว้ให้แล้วเค้าจะส่ง แท๊กซี่มารับ ค่าเสียหายที่จ่ายตรงด่านก็ตกประมาณคนละ 45 เหรียญเนื่องจากเป็นวันศุกร์ เสาร์

ตอนก่อนไป ได้ดูพยากรณ์อากาศเค้าบอกว่า อากาศจะหนาวเย็นมาก ตั้งแต่ 5 องศาลงไปจนติดลบ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันก็หนาวอยู่ แต่ไม่ได้หนาวมากๆ เทียบกับในตัวเมืองแล้วบียังว่า เผลอๆ ตัวเมืองเมลเบิร์นหนาวเสียกว่าอีกนะ จะบอกให้ Mt. Buller นั้นเป็นแหล่งเล่นสกีขึ้นชื่อแห่งนึงของคนเมลเบิร์น เนื่องจากขับรถไปไม่ไกลมาก เค้าเรียกหมู่บ้านบนนั้นว่า Ski Village ข้างบนจะมีโรงเรียนสองเล่นสกีด้วย มีสอนตั้งแต่เด็กเล็กๆ เล็กมากๆ สาม สี่ขวบก็มีไปเรียนแล้ว

บ้านที่เราไปพัก ชื่อว่า Andre เจ้าของบ้านเป็นคุณลุง คุณป้า เค้าอาศัยอยู่ในบ้านนั้นด้วยแต่แบ่งห้องให้นักท่องเที่ยวเช่า ราคาที่พักนั้นแพงเอาการอยู่ คืนละ 3000 AUD มั้ง ถ้าจำไม่ผิด โดยคุณลุงกะคุณป้าจะทำอาหารเช้าให้กิน คุณป้านั้นเนี๊ยบมากๆ เจ้าระเบียบและจู้จี้สุดๆ มีกฎเหล็กว่า ห้ามเอาอาหารจากข้างนอกมากินในบ้าน ถ้ากินข้าวเช้า ต้องกินที่โต๊ะกินข้าวเท่านั้น ห้ามเอาไปกินที่อื่น โต๊ะกินข้าวมีที่นั่ง นั่งได้สิบคน เราไปกันสิบห้า คุณป้าบอกว่า ต้องผลัดกัน ใครกินเสร็จแล้วให้ลุก แล้วคนต่อไปถึงจะมากินได้ ข้าวเช้าจะเสริฟตั้งแต่ 7:00am - 9:00am เกินกว่านั้นไม่มีให้กิน อยู่ๆไปแล้วจะรู้สึกเหมือนอยู่หอพักโรงเรียนประจำ มีคุณครูเจ้าระเบียบคอยตรวจตราทุกฝีเก้า เนื่องจากวันศุกร์กว่าเราจะไปถึงก็ดึกมากแล้ว ก็เลยไม่มีกิจกรรมอะไรมาก กินขนม แล้วก็อาบน้ำ แปรงฟันเข้านอน เพื่อจะได้ตื่นมาตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อรับอาหารเช้าตามคำสั่งของเจ้าคุณป้า ลืมบอกไปว่า สัมผัสแรกที่ได้สัมผัส Mt Buller Village คือ ก้น พอหลังจากลงจากแท๊กซี่เพื่อจะเดินทางเข้าบ้าน ทางเข้าบ้านมันลื่นมากเนื่องจากพื้นมันเกาะเป็นน้ำแข็ง บีเดินแบกของไปได้หนึ่งก้าว ก็ตีลังกาหงายหลังไม่เป็นท่า ลงไปนั่งแหมะอยู่กะพื้น จะบอกว่า เจ็บก้นจริงๆนะ ผ่านมาสองวันแล้วยังเจ็บอยู่เลย ล้มแบบเต็มๆเลยนะนั่น นี่ไงทางเข้าบ้านพักวันเสาร์ พวกเรา 15 หน่วยก็ทยอยๆกันอาบน้ำแต่งตัวกันลงมากินข้าวเช้า คุณลุงจะเป็นคนทำกับข้าว รายการอาหารก็จะมี fried egg, omlette, bacon, ham, pancake, etc และสามสี่อย่าง พร้อมขนมปังซึ่งคุณป้าก็จะให้เลือกว่า จะเอา แบบไหน แบบขาวๆธรรมดาหรือเพื่อสุขภาพ แล้วก็ น้ำส้มคั้น คั้นกันสดๆ ซึ่งถ้าหมดแล้วก็หมดเลย เพราะคุณลุงกะคุณป้าจะไม่คั้นเพิ่ม ซึ่งก็มีจำนวนประมาณ 15 แก้วตามจำนวนคน (ถึงแม้คุณป้าจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆว่า ไม่คั้นเพิ่มมแต่คุณป้าบอกเป็นนัยๆ สื่อให้พวกเราเข้าใจตามนั้น) ดังนั้นพวกเราเลยไม่มีใครกินน้ำส้มมากกว่าหนึ่งแก้ว หลังจากที่อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ออกเดินทาง ด้วยความดี๊ด๊า เพื่อไปเช่าอุปกรณ์สกี เพื่อการเล่นสกีครั้งแรกในชีวิต ค่าเช่า รองเท้าสกี สกี และกางเกงเล่นสกีที่เป็นกางเกงแบบกันน้ำนั้น ราคาต่อวันก็ประมาณ 50 AUD หลังจากได้อุปกรณ์แล้ว เราก็เพิ่งจะรู้ว่า มันเป็นอุปกรณ์กีฬาที่โคตรหนัก และรองเท้าสกีก็เป็นอะไรที่ใส่แล้วไม่สบายเอาเลยทีเดียว หนักก็หนัก เดินก็ลำบาก 50เหรียญที่จ่ายไปเพื่อได้อุปกรณ์มาทรมานตัวเองโดยแท้ หลังจากที่ทุกคนมีอุปกรณ์กันครบแล้ว ก็เดินทางไปจ่ายค่าเล่นสกี ราคา 92 เหรียญ รวมค่าลิฟต์ไม่จำกัดจำนวนครั้งขึ้นกี่รอบก็ได้ และสำหรับ beginner เค้าจะมี class สอน basic ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเราก็ไปเรียน class ตอน 10 โมงเช้า เค้าก็จะสอนว่า เอารองเท้าสกีติดกะสกียังไง เวลาเล่นแล้วจะหยุดยังไง จะเดินยังไงเวลามีสกีติดอยู่กะรองเท้าแล้ว จะบอกว่า แค่เอารองเท้าสกีติดกับสกีได้เสร็จ ก็แทบจะยืนอยู่นิ่งๆไม่ได้ เนื่องจากว่ามันลื่นมาก เวลาจะเดินขึ้นเนินที ลำบากมั่กๆ กว่าจะเดินขึ้นไปได้ พอขึนไป ขึ้นไป ใกล้ถึงเนิน มันก็จะสไลด์เลื่อนลงมา ต้องเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเนี่ย การเล่นสกี พอผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ คุณครูก็จะนำไปขึ้นลิฟต์ เพือไป trail อนุบาล สำหรับเด็กใหม่ เป็นเนินเตี้ย และไม่ชันมาก แต่จะบอกว่า ไอ้เนินเตี้ยๆนี้ สำหรับคนเล่นครั้งแรกอย่างเรา กว่าจะทรงตัวและ เบรคได้ ก็เกือบจะผ่านไปแล้วทั้งวัน ครั้งแรกๆพอขึ้นลิฟต์ขึ้นไปอยู่บนยอดเนิน ปล่อยตัวลงมา ยังลงมาได้ไม่เท่าไหร่ หลังจากที่สปีดเพิ่มขึ้น ข้าพเจ้าก็คว่ำไม่เป็นท่า พุ่งไปตกรางลิฟต์อยู่หลายที ล้มก้นกระแทกพื้นอย่างหมดท่าอีกนับครั้งไม่ถ้วน จน เกือบจะถอดใจ ว่ากีฬาชนิดนี้ กะ บี เราคงเข้ากันไม่ได้ แต่ในที่สุด สอง สามชั่วโมงสุดท้ายก่อนเลิกเล่น ก็นับว่าประสบความสำเร็จระดับนึง สามารถ ลงจากเนินอนุบาลนี้ได้ โดยไม่มีการเจ็บตัว สามารถประคับประคองให้ลงมาจอดที่ข้างล่างได้ โดยก้นไม่กระแทก หลังจากที่พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า อากาศก็เริ่มเย็นลง เราก็เลย รีบวิ่งไปขึ้นกระเช้า เพื่อจะขอดูวิวเป็นขวัญตา ไหนๆก็เสียเงินตั้ง 90 กว่าเหรียญแล้ว ไม่สามารถขึ้นไปเล่นบนๆได้ ขอดูวิวก็ยังดี วิวก็จะบอกว่าไงดีละ ไว้ดูรูปละกันเน๊าะ
บน Mt. Buller จะว่าไปก็เห็นเด็กตัวเล็กๆหลายๆคนมาฝึกเล่น สกี และ snow board จนบางทีเห็นเด็กหลายๆคนเล่นแล้วยังรู้สึกอาย เนื่องจากมันทรงตัวดีกว่าเราตั้งเยอะ แถมมันยังสามารถเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาและไหลลงมาจากเนินสูงๆได้โดยไม่ต้องมีไม้ (ski poles) มาถือให้เกะกะ คิดไปคิดมา ถ้าเอาน้องธีร์ผู้ยังเดินได้ไม่แข็งแรงมาเล่นสกีคงฮาพิลึก แค่แต่งชุดก็ฮาแล้ว ซึงจะว่าไปน้องธีร์อาจจะชอบก็ได้ เหตุผลก็เพราะ ข้อหนึ่ง น้องธีร์สามารถกินน้ำแข็งบนลานสกีเล่นแบบตลอดทางการเดินทาง unlimited สอง น้องธีร์ จะได้สไลด์ สไลด์ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ดีมั้ยน้องธีร์ หลังจากอาทิตย์ลับขอบฟ้าทุกคนสบักสบอมกันได้ที่ ก็ได้เวลาเลิก เอาอุปกรณ์ยอดมนุษย์ไปคืน และกลับบ้านอาบน้ำ อาบท่า เพื่อไปหม่ำๆข้าวเย็น ร้านอาหารเย็นที่ไปกินกันนั้น เดินเท้าจากบ้านไปก็ประมาณ 15 นาที เดินผ่านอากาศเย็นๆบนยอดเขา ผ่านลานสกี อาหารเย็นมื้อนั้นก็แล้วแต่ใครใคร่กินอะไรก็กิน ส่วนมาก ก็กินเสต็กปลาแซลมอนกับแอสพารากัส บีกิน สเต็คเนื้อกับผักโขม อิ่มอร่อยกันไปตามกัน มื้อนั้นหมดไปอีก 40AUD หลังจากเสียเงิน อิ่มท้องแล้ว ก็เดินดูดาวเต็มฟ้ากลับมายังที่พัก นั่งคุยกันสักพักก็ได้เวลาสลายตัวไปนอน เนื่องจากทุกคนสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า มีบางคนบอกว่า อาการเหมือนถูกสิบล้อชน ช่วงล่างหมดความรู้สึก ฮ่า ฮ่า ฮ่า

วันอาทิตย์ ตื่นมาพร้อมกับแสงแรกของวัน ตื่นมาก็เห็นพระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นยอดเขา และมีนกแก้วสีแดงสามสี่ตัวมา ยืนโชว์ตัวอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากเห็นบรรยากาศในตอนเช้าแล้ว อดใจไม่ไหว ต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายสักหน่อยเพื่อเก็บเป็นของฝาก จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว ลงไปกิน ไข่ดาว เบคอน และหนมปังหนึ่งชิ้น ฝีมือลุงเจ้าของบ้านอีกเช่นเคย โอ้!!! ได้ยินใครสักคนเล่าว่า เจ้าของบ้านเป็นชาวฝรั่งเศส มาซื้อบ้านไว้ที่นี่ ปีนึงเค้าจะทำงานเฉพาะหน้าที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเล่นสกีที่ Mt. Buller พอหมดหน้าสกีเค้าก็เลิกทำงาน เก็บของเก็บกระเป๋าออกไปท่องเที่ยวสองสามี ภรรยา คิดดูละกันท่านผู้อ่านเค้าเก็บเงินค่าที่พักแพงขนาดไหนกันเนี่ย ...

หลังจากที่อิ่มอาหารเช้ากันแล้วก็เดินทางออกไปถ่ายรูป แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ พอสักเที่ยงเราก็เรียกรถแท๊กซี่มารับที่บ้านพักเพื่อเดินทางไปเอารถและมุ่งหน้ากลับเมลเบิร์น

การเดินทางครั้งนี้ จะว่าสนุกก็สนุก เพราะเป็นการเล่นสกีครั้งแรกในชีวิต เจ็บก็เจ็บ เนื่องจาก ก้น แขน ขา ช้ำชอกไปหมดทั้งตัว เอาเป็นว่า ฝากไว้ก่อนละกันนะ Mt. Buller คราวหน้าเค้าจะไปลอง Snow Board ดูบ้าง ... อิ อิ อิ