Sunday, February 24, 2008

MV ค๊าบ MV

ตั้งใจจะส่ง MV นี้เข้าประกวดในบล็อคน้องธีร์ แต่ ไฟล์มันใหญ่ไป ไม่สามารถส่งได้ พยายามส่งผ่าน hotmail ก็แล้ว gmail ก็แล้ว ลองส่งผ่าน msn ก็แล้ว ไม่สามารถ จะใช้เมล์ accenture ส่ง ก็ถูกตัดสิทธิไปแล้วอย่างรวดเร็ว จะ hack บล็อคน้องธีร์ไปอัพเองก็เกรงใจ เลยต้อง อัพขึ้นบล็อคตัวเองซะงั้น ก่อนอื่นต้องออกตัวไว้ก่อนดังเอี๊ยดว่า นี่เป็นโปรเจ็คแรก สำหรับมือใหม่หัดตัดต่อ (ไว้จะพยายามพัฒนาเป็นมะบีคู่แข่งมะเดี่ยวให้จงได้)เนื่องจากเป็นงานแรก ก็ต้องเริ่มจากภาพนิ่ง (เหมือนคิระไง ปล่อยภาพนิ่งออกมาก่อน ก่อนจะปล่อยคลิปภาพเคลื่อนไหว :P อิ อิ อิ) ใช้ MV นี้เป็นการลองเทคนิคต่างๆที่มีมากับโปรแกรมว่ามันทำไรได้บ้าง ตอนแรกก็ตั้งใจจะอัพด้วยไฟล์ AVI แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถ ไฟล์มันใหญ่ยักษ์เกิน เลยต้องลดคุณภาพลงมาให้เหลือแค่ MPEG เลยดูภาพมันแตกๆไม่นวลเนียนเหมือน avi แล้วมันก็ไม่ใช่ dvd quality เอาเป็นว่าไว้ดูเล่นๆยามว่างละกันเนอะ ... แต่น แตน แต๊น ... ขอเชิญพบกับ ... MV ตัวใหม่ของ ธีร์ ธีร์ ธีร์ อี อี อี (ทำเสียงเอ็คโค่หน่อย ให้ได้บรรยากาศ)ได้แล้วค๊าบ พี่น้อง น้อง น้องงงงงง ...

Almost Time to say Bye Bye Melbourne

และแล้วเวลาหนึ่งปีก็ผ่านไป ไม่รู้ว่า ไว หรือ ช้า ยังจำได้ว่า เมื่อตอนก่อนที่จะมาทำงานที่เมลเบิร์น รู้สึกตื่นเต้นเป็นกำลัง เพราะว่า นี่เป็นครั้งแรก ที่จะได้มาเหยี่ยบผืนแผ่นดินเมลเบิร์น ทุกอย่างขลุกขลักยิ่งนัก ไหนจะต้องหาที่พักด้วยตัวเองก่อนที่จะได้ apartmentของตัวเอง ต้องไปอาศัยบ้านเพื่อนของเพื่อนอยู่ ไปอาศัยเค้าอยู่เกือบอาทิตย์ โดยที่ไม่รู้จักและไม่เคยเจอหน้าเจ้าของห้องที่ให้อาศัยพักฟรีนั้นเลย ... อิ อิ อิ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณผ่านไว้ในบล็อคนี้ด้วยละกัน ... มาถึงเมลเบิร์นวันแรก หลังจากเก็บกระเป๋าเข้าห้องพัก ก็ออกเดินตระเวนไปตาม agent ต่างๆ เพื่อ ดูว่า มี apartment ไหนเปิดให้เช่าบ้าง เพียงวันแรกเท่านั้น ก็เดินทั่ว Melbourne CBD แล้ว เดินถนนทุกเส้น ตั้งแต่ Spencer, King, Williams, Queen, Elizabeth, Swanston, Russel, Exhibition, Spring ตัดด้วย Franklin, La Trobe, Little Lonsdale, Lonsdale, Little Bourke, Bourke, Little Collins, Collin จบด้วย Flinders (ไปเปิดแผนที่เมืองประกอบแล้วจะเห็นว่า วันนั้นเดินเป็นสี่เหลี่ยม ทุกซอกทุกมุมจริงๆ แล้วจะเห็นว่าเมลเบิร์นเล็กจริงๆ แค่วันแรกก็เดินตัวเมืองจนทั่วแล้ว) วันนั้นเหนื่อยมาก ใช้เวลาเดิน เดิน เดิน แบบไม่หยุดพัก ทั้งหมดเกือบสี่ชั่วโมง กลับมาที่พักพร้อมด้วย List ของ Apartment จำนวนหนึ่ง การหา Apartment ในเมลเบิร์นจะว่า ยากก็ยาก จะว่าง่าย ก็ง่าย ขึ้นอยู่กับ อำนาจเงินที่มี ถ้ามีเงินมากหน่อย เรื่องทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น ... แต่การมาเมลเบิร์นครั้งแรกของบี ตอนนั้น เงินก็ไม่ค่อยมี เรื่องการหา Apartment เลยเป็นเรื่องยาก และ ค่อนข้างเหนื่อย ต้องตระเวนไปตาม Apartment ทุกแห่ง ที่เค้าเปิดให้เข้าไปดู ถ้าสนใจ ก็ต้องลงชื่อไว้ ส่งหลักฐาน ไปให้เจ้าของห้องเค้าตัดสินใจว่า ในที่สุดแล้ว เค้าจะให้ใครเช่า ใช้เวลาอยู่เกือบสองอาทิตย์กว่าจะหาที่พักของตัวเองได้ ระหว่างนั้นก็ต้องระเห็ดระเหิน ย้าย จาก Apartment ของเพื่อนของเพื่อน ไปอาศัยพี่โก้และ Janice อยู่เป็นเวลา สาม สี่วัน เนื่องจากเพื่อนของเพื่อนนั้นกลับมาจากเมืองไทยแล้ว พอได้ Apartment ของตัวเองแล้ว ก็ใช่ว่า จะหมดเรื่อง ไหนจะต้องติดต่อเรื่อง น้ำ ไฟ internet ไหนจะต้องซื้อของใช้ต่างๆ เข้าบ้านเพื่อให้พออยู่ได้ กว่าอะไร ๆ จะลงตัวก็ผ่านไปเกือบอาทิตย์

นอกจากเรื่องที่พักอาศัยแล้ว เรื่องงานที่มาทำในเมลเบิร์นใน ก็สร้างความหนักใจให้อยู่พักนึง ด้วยความที่ ego ในตัวตอนนั้น มีสูงอยู่ระดับนึง ต้องมาเป็นลูกน้องในทีมที่มีหัวหน้าทีมตำแหน่งน้อยกว่า แอบเซ็งเล็กน้อย อะไรวะ ก่อนมาไหนบอกว่าจะให้เป็น team lead แล้วไงสุดท้ายเป็นอย่างงี้วะ แถมงานที่ได้ทำนั้น เป็นงาน Programming ซะส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นอะไร ที่ไม่ถนัด และ ไม่ได้ทำมานานหลังจากเรียนจบที่มหิดล ถึงแม้จะไม่ถนัด เราก็ไม่บอกใคร ทำงานต่อไปด้วยแรงฮึด ต้องแสดงให้เค้าเห็นว่า เราทำได้ จำได้ว่า ช่วงแรกๆ ค้นคว้าหนักมาก พยายาม Deliver งานชิ้นแรก ให้สู่สายตาชาวโลก (อิ อิ อิ อันนี้ก็เว่อร์ไปนิด) ให้สู่สายตาเพื่อนร่วมงาน โดยใช้เวลาน้อยที่สุด ใช้เวลา สอง อาทิตย์ในการพิสูจน์ให้เค้าเห็นว่า เราทำได้โว้ย งานชิ้นแรกก็ออกสู่สายตาเพื่อนร่วมงาน ... จำได้ว่าเคยบ่นกับพี่โก้ไป (ปล. นิดนึง พี่โก้ คือ พี่เมเนเจอร์ คนไทย ที่ประจำอยู่ที่ นิวยอร์ค ออฟฟิศ ได้ร่วมงานกันครั้งแรก ที่มนิลา อาศัยอำนาจพี่โก้เป็นเกราะป้องกันและให้แกคุ้มกะลาหัวให้อยู่หลายครั้ง) ว่า อะไรอ่ะพี่ ทำไม ตำแหน่งที่ได้ ไม่เห็นเหมือนตอนที่บอก แล้วงานที่ทำ มันก็ไม่เห็นเหมือนกะที่คุยกันก่อนมา นี่อะไร งาน programming ชัดๆ พี่ บีไม่ใช่ Programmer นะ พี่โก้บอกว่า จะคิดไรมาก เค้าจ่ายเงินแกดี แกก็ทำๆไปเถอะ ถือซะว่า ทำงานเก็บเงิน อืม ... เอาวะ คิดอย่าง พี่แกพูดก็ถูก ... ไม่ต้องรับผิดชอบมาก ไม่ต้องมีลูกน้อง ทำเฉพาะงานของตัวเอง ไม่ต้องสนใจใคร ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ถือว่าได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์มาเพิ่มใน resume ได้เงินมาใช้ ... คิดได้อย่างงั้นก็ วาง ego ลง ... เหลือรับไว้แต่เงินที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ...

ช่วงแรกๆ ทุกอย่างผ่านไปด้วยความตื่นตา ตื่นใจ และ ตื่นเต้น หกเดือนผ่านไป ก็ต้องมาเริ่มต้นตื่นตระหนกอีกครั้ง เนื่องจากจะหมดสัญญา เค้าจะต่อสัญญามั้ย เงินที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเก็บยังได้ไม่ถึงเป้า แล้วสัญญาบ้านก็จะหมด จะต้องต่อมั้ย โน่น นี่ นั่น จนต้องเริ่ม pro-active approach ถาม คนโน้น คนนี้ เพือ ให้ได้ข้อสรุปว่า เค้าจะต่อสัญญามั้ย จนได้รู้ว่า โอเค เค้าจะต่อสัญญาอีกหกเดือน แถม ขึ้นเงินเดือนให้อีก 5% เอาวะ ทำงานหกเดือน เงินเดือนก็ขึ้น ถือว่าไม่เลว พอรู้ว่าเค้าจะต่อสัญญา ก็เริ่มหาที่อยู่ใหม่ เนื่องจากเริ่มเบื่อที่อยู่เดิม และมีความรู้สึกว่า โซฟาที่ aparment นั้น บวกกับ เตียงที่ apartment นั้นทำให้มีอาการปวดหลัง แถมฝุ่นก็เยอะ อยู่ต่อไปอาจเป็นโรคภูมิแพ้ ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็นข้ออ้างของการหาที่อยู่ใหม่ ยอมจ่ายเงินเยอะขึ้น ย้ายมาอยู่ Apartment ใหม่ ที่ดูใหม่ขึ้นจากเดิม ทำเลดีกว่าเดิม สะดวกสบายเนื่องจาก อยู่ใกล้ supermarket, china town และที่ทำงาน

รูปข้างล่างนี้ เป็นรูปโต๊ะที่ทำงาน และมุมมองจากโต๊ะที่ทำงาน มีจอถึงสองจอทีเดียว ทำให้เกิดอาการติดใจ การมี monitor สองอันนี้มันก็ดีเหมือนกันนะ สามารถทำหลายอย่างได้พร้อมๆกัน สะดวกขึ้น เช่น จอนึงไว้ Chat หรือเล่นเกมส์ อีกจอนึงไว้ทำงาน มีประโยชน์หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตบตาเจ้านาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

มองผ่านหน้าต่างไปก็เห็น ตลาด Queen Victoria รูปมันไม่ค่อยชัด เพราะว่า ตอนถ่ายค่อนข้างเขินน่ะ ไม่กล้าถ่ายอย่างจริงจัง กลัวเพื่อน แซว แหะ แหะ แหะ สิ่งหนึ่งที่ชอบในที่ทำงานนี้ก็คือ วิวนอกหน้าต่าง มันสามารถเห็นเมืองได้ไกลมาก นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีตึกสูงๆมาบัง ทำให้เห็น ฟ้าเป็นฟ้า บางที ฟ้าก็มีมืด ทะมึน บางทีฟ้าก็สีชมพู สีส้ม สีแสด สีโน้น สีนี้ บางทีทำงานมากๆ มองออกไปนอกหน้าต่างมันก็คลายเครียดดีเหมือนกัน

เริ่มเข้าเดือนที่สิบ หลังจากอยู่เมลเบิร์นได้สิบเดือนเหมือนได้สักสิบปี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มน่าเบื่อ งานก็เดิมๆ เมืองก็ยังเล็กเหมือนเดิม อาหารการกินก็เหมือนเดิม ความสนุกสนานเริ่มจางหายไป เกิดอาการเหงาและอยากกลับบ้านอย่างรุนแรง การได้กลับบ้านไปเป็นเล่นกะสมธีร์ เป็นความสนุกที่ ตั้งใจรอคอย นับวันว่า เมื่อไหร่จะถึงวัน Fly back อีกครั้ง วันทุกวันในเมลเบิร์น ผ่านไปอย่างเชื่องช้า และ น่าเบื่อ การได้อยู่กับตัวเองเยอะขึ้นทำให้เกิดอาการเหงาได้อย่างง่ายดาย เริ่มอยากกลับบ้าน แต่การที่จะกลับบ้านบ่อย ก็จะมีเสียงบ่นจากคนที่บ้าน ว่าเสียดายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน อย่างงั้น อย่างโง้น ... แต่ตอนนั้นบีคิดว่า ถ้าเอาเงินเท่านั้นแลกกับความสุขทางใจที่บีจะได้ ทำไมบีจะเสียเงินเท่านั้นไม่ได้ ... การมีเงิน มันไม่ทำให้บีมึความสุขขึ้นสักหน่อย ... ถ้าเงินน้อยหน่อย แต่มีความสุขใจ ยอม ...

จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ในที่สุด ภารกิจที่เมลเบิร์นก็ใกล้จะถึงเวลาปิดฉาก การทำงานวันสุดท้ายได้ผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ทำงานมาแล้วหนึ่งปี ก่อนหน้านั้น ที่สัญญาใกล้จะหมด บีก็คิดไว้แล้วว่า บีไม่อยากต่อ เนื่องจากเบื่อมาก เซ็งมาก เหงามาก และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย ที่ทำให้เมลเบิร์นไม่น่าอยู่สำหรับบีอีกต่อไป ... แต่ก็มีหลายคนมาเบรคไว้ว่า ถ้าเค้าจะต่อสัญญาก็ให้คิดดูดีๆ เพราะถ้ากลับมา ก็จะไม่มีงานทำ ต้องหางานใหม่ พอเราตกงาน ป๊ากับม๊าก็อาจจะมานั่งเครียดเนื่องจากลูกไม่มีงานทำ อีกอย่าง อำนาจเงินที่จะได้เพิ่มจากการต่อสัญญา มันก็ทำให้ต้องมานั่งทบทวน เพราะมันก็เยอะอยู่นา ... มันทำให้เริ่ม เครียด คิดหนัก คิดไม่ตก ... ใจจริงก็ไม่อยากอยู่ หรือว่า เราจะต้องทนอยู่ เพื่อที่จะไม่ต้องเริ่มหางานใหม่ ... เครียด เครียด ... แล้ววันนึงม๊าก็บอกว่า ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ กลับบ้านเถอะ ... พอแม่บอกเช่นนั้น ก็ทำให้มีกำลังใจ ตัดสินใจได้ว่า ไม่ต่อแล้วโว้ย กลับบ้านดีกว่า ก็เบื่อเมลเบิร์นแล้วนี่หว่า เก็บกระเป๋ากลับบ้านไปเครียดต่อที่บ้านดีกว่า พออยู่บ้านจนเบื่อแล้ว เราค่อยหามุมอื่นในโลกใบนี้ ไปผจญภัยต่อ ก็แหม มีอีกหลายเมือง หลายประเทศ ที่เค้ายังไม่เคยไปนี่หน่า ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า

การที่จะได้กลับบ้านก็ใช่ว่า จะสะดวกราบรื่น ไหนจะเรื่อง tax return เรื่อง เงินกองทุน เรื่อง bank account จะปิดบัญชียังไง จะโอนเงินกลับบ้านยังไง เรื่อง ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัด internet จะจ่ายเงินค่าสาธารณูปโภคครั้งสุดท้ายยังไง ไหนจะเรื่องคืน apartment ไหนจะต้องหาคนมาทำความสะอาด เจ้าที่ agent บ้านแนะนำมาก็แพงมาก รับไม่ได้ แค่ค่าทำความสะอาด ก็เกือบห้าร้อยเหรียญ แรกๆ ก็เครียดว่าจะไปจ้างใครมาทำ ในที่สุดก็ได้มาเจ้านึง ตกลงราคากันไว้ที่ 215 เหรียญ รับประกันว่า ถ้าไม่ผ่าน มาตรฐาน agent เค้าจะกลับมาทำให้ใหม่ ... ก็ต้องรอดูกันต่อไป ... นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังไม่หมดเรื่อง ยังมีเรื่องขนของกลับให้คิดอีก วันกลับ ระหว่างที่เค้ามาทำความสะอาด จะขนของไปไว้ไหน แล้วจะไปเอา bond คืนยังไง ... เรื่องเยอะ เนาะ ไม่รู้ว่า คิดมากจนทำให้เรื่องมันเยอะไปเอง หรือว่า มันเยอะจริงๆ ... พูดถึงเรื่องขนของกลับเล่าสักหน่อยว่า ระหว่างที่ชี้ชวนให้คนที่บ้านเห็นจำนวนของที่จะขนกลับนั้น น้องธีร์เห็น ... น้องธีร์ก็ชี้แล้วตะโกนมาว่า อย่ารื้อ ... ไม่ใช่ของเรา อย่ารื้อ ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า

หลังจากนี้อีกห้าวัน บีจะได้กลับบ้าน ช่วงนี้ก็เลยมีแต่คนถามว่า กลับไปแล้วจะทำอะไร ... ก็ได้แต่บอกไปว่า ไม่รู้ พอตอบเสร็จก็จะมีคนมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ก็เลยคิดตอบสายตาแปลกๆมันในใจว่า ... ทำไม กลับไปแล้วจะต้องทำอะไร อยู่อย่างคนไม่แพลนแล้วมันผิดด้วยเหรอฟระ ... ตอนนี้ยังไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ... เอาไว้อยู่บ้านจนเบื่อแล้วค่อยคิดละกัน ... เชื่อเถอะ ว่า พอกลับไปอยู่บ้านได้สักพัก รู้สึกตัวว่า มันเริ่มน่าเบื่อแล้ว ... บีก็จะต้องกระวนกระวาย หาอะไร ทำจนได้นั่นแหละ ... แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งถาม ไม่รู้ ยังไม่อยากคิด ... ขอกลับไปพัก แต่งคอนโดให้เสร็จ ไปเที่ยวที่ที่อยากไป เล่นกับธีร์จนพอใจแล้ว ค่อยคิดละกัน ... เจอกันอีกที ที่กรุงเทพฯ ค๊าบ

Sunday, February 3, 2008

กาแฟ หนังสือ และ วันอาทิตย์

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่อากาศค่อนข้างดีวันหนึ่งของเมลเบิร์น อากาศเย็นๆ สบายๆ เลยคิดว่า น่าจะถือโอกาสไปเดินเล่นซะบ้าง ก็เลย หยิบหนังสือหนึ่งเล่มติดตัวไป พร้อม ไอพอดคู่ชีพ เดินทางไปหาร้านกาแฟ บรรยากาศสบายๆนั่งอ่านหนังสือ ร้านกาแฟร้านนี้ ตั้งอยู่ใน The Block Arcade ถือเป็นสถานที่ช็อปปิ้งเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมลเบิร์น สร้างตั้งแต่ปี 1893 โน่นแน่ะ ปัจจุบันใน Arcade แห่งนี้มีร้านขายของมากมาย ร้านกาแฟ ร้านชาเก่าๆ แล้วก็ ร้านช็อคโกแลต คนไม่พลุกพล่านมาก นั่งสบายๆ เหมาะกะการพักผ่อนในบ่ายวันอาทิตย์
จบท้ายด้วยโปสการ์ดหนึ่งใบที่เจอระหว่างทางกลับบ้าน

Life is what you make it

Always has been, Always will be