Wednesday, December 31, 2008

(-/\-) สวัสดีปีฉลู

สวัสดีปีใหม่คับ พ่อแม่ พี่น้อง และ ผองเพื่อน

ก็ไม่มีอะไรมาก อยากจะขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข สมหวัง สุขภาพร่างกาย สมบูรณ์แข็งแรง อยู่สู้มรสุมและสิ่งต่างๆในโลกนี้ เป็นเพื่อนกันอีกปีนึงนะค๊าบ - Luv You All :-)

H a P p Y N e w y E a R - 2 0 0 9

Thursday, December 25, 2008

merry christmas

ห่างหายไปจากบล็อคของตัวเองเป็นเวลานานมาก ไม่น่าเชื่อว่า จะผ่านไปแล้วสามเดือน จากการอัพเดทครั้งสุดท้าย ... ผ่านไปสามเดือนอย่างรวดเร็ว ชีวิตที่ผ่านมาสามเดือน เวลาส่วนใหญ่ หมดไปกับการทำงาน จนมีความรู้สึกว่า แบตเตอรี่ก้อนล่าสุด ที่ชาร์จไว้ครั้งสุดท้าย ก่อนเริ่มทำงาน กำลังจะหมดไป ไฟเหลือน้อยลงทุกที ทุกที

ปีนี้ บีมีความรู้สึกว่า คริสต์มาสมาเร็วมาก พอๆกับ ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง นึกย้อนไปว่า ปีที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง เกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิต ช่วงต้นเดือนธันวาเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่า มีความรู้สึกคิดถึงบ้านอย่างรุนแรง ตอนใกล้ คริสต์มาสเมื่อปีที่แล้ว happy มากกับการที่จะได้กลับบ้าน ใช้ชีวิตในช่วงปีใหม่ที่เมืองไทย เสาร์ อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส หมดไปกับการช็อปปิ้ง ซื้อของกลับบ้าน กลับมาถึงบ้าน กิน นอน เล่น จนกระทั่ง ปีใหม่ผ่านไป พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่หายไปในวันปีใหม่ สองอาทิตย์ที่ได้อยู่บ้าน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานต่อที่เมลเบิร์น เป็นเวลาสองเดือน สองเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า และแล้วในที่สุด ชีวิตหนึ่งปีที่เมลเบิร์นก็จบ พร้อมกับทางที่เลือกเอง ตอนนั้นเลือกที่กลับมาตกงาน นอนเล่นอยู่บ้าน ชิลอยู่นานร่วมสี่เดือน ช่วงที่ตกงาน ก็ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น กะหน่ำกินและเดินเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ ก่อน ชีวิตการทำงานอย่างบ้าคลั่งจะเริ่มขึ้นอีกครั้งในเดือนเจ็ด หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และน่าเบื่อ ... ชีวิตวันๆ มีแต่งาน งาน งาน จนมาถึงวันนี้ ทำงานมาแล้วห้าเดือน แบตเตอรี่ที่ชาร์จมานานร่วมสี่เดือน กำลังจะหมดไป ... การทำงานในแต่ละวัน มันใช้พลังมากขนาดนี้เลยเหรอ ... พระเจ้า จอร์ช ...

ปีหนูกำลังจะผ่านไป เหลือเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ปีวัวกำลังจะเข้ามา ... รู้สึกตื่นเต้นกันบ้างมั้ย กับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง ชีวิตจะผกผันเปลี่ยนไปจากเดิม มากน้อย แค่ไหน ปีหน้าเราจะเจออะไร เจอใคร ... ชีวิตจะอยู่ดีมีสุข หรือ จะสุข ปนเศร้า เคล้าน้ำตา ... เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แล้วบีก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ก็ได้แต่หวังและอวยพรให้กับตัวเองว่า ปีหน้านี้ขอให้เป็นปีดีๆ มีสิ่งดีๆ เจอคนดีๆ มีความสุขมากกว่าความทุกข์ละกัน ... wish for the BEST!!!
- Merry Christmas and a Happy New Year -

Friday, September 19, 2008

วัน วัน หนึ่ง

วัน หนึ่ง วัน คนอื่นๆทำอะไรกันบ้างหนอ?

สำหรับ บี แล้ว วันๆนึง ตอนช่วงที่มีการมีงานทำแบบชาวบ้านเค้า บีมีความรู้สึกว่าแต่ละวันช่างผ่านไปอย่างไร้สาระและคุณค่า ก็ดูเอาเถอะ เช้าตื่นขึ้นมาก็ต้องรีบอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว และ ขับรถ ฝ่าการจราจรและผู้คนจำนวนมาก ที่พร้อมใจกันไปแออัดบนท้องถนนเพื่อไปทำงาน ขับรถก็ต้องขับไปทางเดิม จนสามารถเดาได้ว่า ช่วงไหนรถจะติดแบบสามารถเอานิยายมานั่งอ่านฆ่าเวลาได้ บางทีถึงกับอ่านไปได้สาม สี่ตอน กว่ารถจะขยับ เคยคิดจะเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถ เพื่อเปลี่ยนรสชาติของชีวิต แต่พอเปลี่ยนไปแล้ว กลับเจอรถติดหนักกว่าเดิม ไปทำงานสายกว่าเดิม เลยต้องยอมเป็นคนซ้ำซาก ไปทางเดิมๆทุกวัน พอไปถึงที่ทำงาน ก็เดินไปเปิดคอมฯทิ้งไว้ เดินไปหยิบแก้วกาแฟ ชงกาแฟ เสร็จแล้ว ก็เอากาแฟ มาวางทิ้งไว้จนโต๊ะทำงานจนกาแฟเย็น (ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ชงกาแฟร้อนทำไม) เสร็จแล้วก็เริ่มทำงานโน้น งานนี้ งานนั้น นั่งทำงานเผลอแป๊บๆ ก็เที่ยงละ ต้องไปกินข้าวเที่ยง กินเสร็จกลับมา นั่งทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เผลออีกแป๊บ สองทุ่มกว่า (โอ้ว!!! ม่ายเจรง ... ควรจะเผ่นจากที่ทำงานได้ละ)เสร็จแล้ว ก็ออกจากที่ทำงาน ขับรถกลับบ้าน ระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ก็นั่งคิดว่า วันนี้ ตรูทำไรไปบ้างฟระ ทำไมถึงรู้สึกว่า ทำงานตลอดเวลา แต่งานที่เสร็จเป็นรูปเป็นร่างไม่มีเลยสักชิ้นเดียว เซ็งเป็ด ... แล้วก็เลิกคิด เปลี่ยนใจไปเปิด ipod ฟังชิลๆ ขับรถกลับบ้านแบบพุ่งทะยานด้วยความเร็วแสง ถึงบ้านสามทุ่ม นั่งหายใจเฉยๆเลยสักพัก ก็ต้องไปอาบน้ำ อาบเสร็จ กลับมา ก็ต้องนอนอีกละ ได้เวลานอน เพราะถ้านอนดึก วันรุ่งขึ้นตื่นมา ก็จะเหนื่อยกว่าเดิม นี่ก็หมดไปหนึ่งวัน กิจวัตรประจำวัน ทำซ้ำๆเช่นนี้ไปห้าวัน (--") ชีวิตช่างน่าเบื่อเหลือใจ

เปรียบเทียบกะตอนไม่มีงานทำ ที่ใครบางคนอาจจะบอกว่าเป็นช่วงเวลาไร้สาระของบี แต่บีคิดว่าไม่ใช่ ช่วงที่บีไม่มีงานทำ บียังรู้ว่า วันๆนึง บีทำอะไรบ้างที่เป็นชิ้นเป็นอัน มีผลลัพธ์ชัดเจน วันนี้อ่านหนังสือจบไปกี่เรื่อง ดูหนังจบไปกี่แผ่น หรือ มีเวลาพารถไปอาบน้ำเข้าสปาฟรีที่พารากอน รถสะอาดใสปิ๊ง อยากนอนก็ได้นอน
เฮ้อ!!! วันวานยังหวานอยู่เจรงๆ คับ พี่น้องคับ

Thursday, August 28, 2008

A SonG

มองเห็นดวงดาวส่องอยู่เต็มฟ้า
ลมหนาวโชยมาจากที่แสนไกล
อยู่ไกลกันเหลือเกิน คิดถึงจะขาดใจ
ไม่รู้นานเท่าไรถึงจะพบกัน

ความเหงามักทำ ให้ต้องชอกช้ำ
ลมหนาวยิ่งทำให้ยิ่งร้าวราน
เคยใกล้ชิดอยู่ ทั้งรักทั้งผูกพันธ์
จากกันมานานจะเป็นยังไง

ป่านนี้เธอจะอยู่ไหน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร
จะมีใครดูแลรึเปล่า
ป่านนี้คงจะนอนหนาว ป่านนี้คงจะเงียบเหงา
ฝากเดือนและดาวช่วยปลอบที

ตรงนี้มีคนที่ยังคอยหา
คอยหาทุกเวลาเมื่อเธอร้างไกล
ยังคอยและยังรู้สึก คิดถึงและห่วงใย
จะทำยังไง ให้เธอรับรู้

ป่านนี้เธอจะอยู่ไหน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร
จะมีใครดูแลรึเปล่า
ป่านนี้คงจะนอนหนาว ป่านนี้คงจะเงียบเหงา
ฝากเดือนและดาวช่วยปลอบที

ป่านนี้เธอจะอยู่ไหน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร
จะมีใครดูแลรึเปล่า
ป่านนี้คงจะนอนหนาว ป่านนี้คงจะเงียบเหงา
ฝากเดือนและดาว
"บอกว่าฉันยังห่วงเธอ"

จำได้ว่า รู้จักเพลงนี้ครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน (ฟังดูเหมือนยาวนาน) ซึ่งมันก็นานจริงๆ อิ อิ อิ เพลงนี้ได้ยินครั้งแรกเมื่อครั้งกู๋คิมไปอยู่นอกบ้านต่างเมือง ไปเรียน high school ที่สหรัฐอเมริกานั่นเอง (ฟังดู กู๋คิมนี่เป็นไฮโซนะเนี่ย จบไฮสกูลที่ต่างประเทศ และเพื่อความเป็นไฮโซของน้องธีร์ ส่งน้องธีร์ไปกัลกัตต้าดีกว่า ท่าจะเหมาะ) เอาละ กลับมาเรื่องเพลงต่อ ... สาเหตุที่จำได้เพราะว่า เป็นคนอัดเพลงนี้ร่วมกับเพลงอื่นๆที่ดังๆในช่วงนั้น ใส่เทปคาสเซทส่งให้กู๋คิม นั่นนับเป็นประสบการณ์ร่วมครั้งแรกที่มีกับเพลงนี้

เพลงนี้ฟังกี่ทีกี่ทีก็รู้สึกชอบ ที่ชอบนี่อาจจะเนื่องด้วยความหมาย มันจะมีความหมายอย่างลึกซึ้งก็ต่อเมื่อต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างภาษา ไปอยู่ที่ห่างไกลแต่เพียงลำพังผู้เดียว ฟังแล้วโคตรเศร้าเลย

สาเหตุที่มาระลึกถึงเพลงนี้อีกครั้ง ก็เป็นเพราะวันก่อนได้ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง เค้าเอา ป๊อบ แคลอรี่ บลา บลา มาร้องเพลงนี้ให้ฟัง ฟังแล้วชอบเวอร์ชั่นที่แคลอรี่ บลา บลา ร้อง ก็เลยเอามาแบ่งปันให้ฟังกัน ณ ที่นี้ ก่อนจะฟัง แนะนำให้หลับตา ฟังแต่เสียงป๊อบแล้วเพลงนี้จะเพราะมากกกกก :P ... Enjoy คับ ...

Tuesday, August 12, 2008

หม่าม๊า, I love you

วันนี้วันแม่ มาอัพบล็อคซะหน่อย บอกรักกันผ่านเว็บไซต์เลยทีเดียว เขิน ไม่กล้าบอกกันตรงๆ อิ อิ อิ ... มี เซอร์ไพรส์ด้วย แต่ยังทำไม่เสร็จ ต้องไปนอนซะละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย ... เอาเป็นว่า ให้เวลากะของเซอร์ไพรส์หน่อยดีกว่า ไว้เรียบร้อยดีเมื่อไหร่ จะเอามาโชว์ ... แล้วเจอกันใหม่

... รักหม่าม๊าที่ซู๊ด ...

Update: เนื่องจากเวลาที่ใช้ในการทำ เซอร์ไพรส์ชุดนี้มีค่อนข้างน้อย ผลงานเลยออกมาไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ ... เอาไว้แก้ตัวคราวหน้านะแม่นะ ... รีบทำ รีบโพสต์ก่อนจะไม่มีเวลาทำ ... ก่อนจากกันวันนี้ อยากจะตะโกนบอกว่า

"I LOVE MY FAMILY" วู้ฮู !!!

Tuesday, July 22, 2008

หลวงพระบาง

จริงๆ กะจะเขียนเรื่องหลวงพระบางตั้งแต่เมื่อครั้งเพิ่งเดินทางกลับจากหลวงพระบางใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้เขียน จนมาถึงวันนี้ ก็ได้ฤกษ์งามยามดี ฝนตกปรอยๆ ได้บรรยากาศ ก็เลยมาเขียนถึงสักหน่อย

ก่อนหน้านี้ บีมีความรู้สึกอยากไปเมืองมรดกโลกหลวงพระบางมาตั้งนานแล้วแต่ไม่โอกาส เนื่องจากไม่มีเวลาบ้าง ไม่มีเงินบ้าง ไม่มีคนไปด้วยบ้าง จนในที่สุดโอกาสอันดีก็มาถึง แถมไปคราวนี้มีสปอนเซอร์เสียด้วย หุ หุ หุ เหตุเกิดเนื่องมาจากโฆษณาโปรแกรมทัวร์สวัสดีหลวงพระบางของบริษัทหนึ่งที่ส่งมาพร้อมกับใบเรียกเ็ก็บเงินของบัตรเซ็นทรัล หลังจากที่ชี้ชวนให้หม่าม๊าดูแล้วหม่าม๊ารู้สึกสนใจเลยโทรศัพท์ไปถาม ตอนแรกเค้าบอกมาว่า เด็กอย่างน้องธีร์ไปฟรี พวกเราก็เลยกระดี้กระด้า ดีใจ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เด็กอย่างน้องธีร์ก็ต้องเสียเงิน มิได้ไปฟรีแต่อย่างใด บีก็เลยไปเสาะหาทัวร์ที่อื่นเพื่อดูราคาว่ามีที่ไหนบ้าง อยู่มาวันหนึ่งด้วยความบังเอิญ เห็นหนังสือ anywhere ของคิม ตั้งอยู่บนโต๊ะ เปิดไปเปิดมา ได้เบอร์ติดต่อของบริษัท Bangkok Airways จึงโทรศัพท์เข้าไปสอบถาม ทางบางกอกแอร์เวยส์ ก็โอนสายไปที่บริษัท ฟ้าไทย ซึ่งเหมือนจะเป็นบริษัททัวร์ที่เป็นบริษัทลูกของบางกอก แอร์เวยส์ ทางฟ้าไทยก็ได้ส่งรายละเอียดและราคามาซึ่งราคาก็จะแปรผันตามจำนวนคน 2 คนก็จะราคานึง 3-5 คนก็จะราคานึง 6คนขึ้นไปก็จะราคานึง หลังจากตรวจสอบราคาและคำนวนดูแล้วก็เห็นว่าถูกกว่าบริษัททัวร์แรกที่เราโทรไปถาม และที่สำคัญ เราสามารถระบุได้ว่า จะไปวันไหน จึงตัดสินใจว่า ไปอันนี้ละกัน ตอนแรก หม่าม๊ายังรู้สึกหวั่นใจว่า ถ้าเราไปกันคณะเล็กๆ เค้าจะเอารถคันเล็กๆ เรือคันเล็กๆมารับเราหรือเปล่า จะปลอดภัยหรือเปล่า ก็ได้มีการสอบถามไปที่บริษัททัวร์ เค้าก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันมาว่า ปลอดภัย ชัวร์ รับประกัน ด้วยความที่เห็นว่า เป็นของบางกอก แอร์เวยส์และเค้าก็น่าจะทำมานานแล้ว ก็โอเค ตกลงไป โดยคิดกันว่า ออกเดินทางวันพฤหัสที่ 10 กรกฎาคม และ กลับวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม ท่าจะดี คนไม่น่าจะเยอะมากและที่สำคัญไม่ใช่วันหยุดแต่อย่างใด

ก่อนจะถึงวันเดินทาง ครอบครัวน้องธีร์ก็ได้มีการเตรียมตัวไปทำ passport ส่วนบีนั้น ได้เตรียมตัวเนิ่นกว่านั้นแล้ว เตรียมตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ทำ passport ให้พร้อมไว้เสมอ เดี๋ยวนี้การทำ passport ค่อนข้างเร็ว ถึงเร็วมาก บีไปทำแถวปิ่นเกล้า ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีก็เสร็จละ ตอนวัดส่วนสูง เจ้าหน้าที่ ทำส่วนสูงบีหายไป 3-4 เซ็นติเมตรเลยทีเดียว เมื่อเทียบกะ passport เก่า ทำให้สงสัยอยู่ในใจว่า นี่ชั้นเตี้ยลงเหรอเนี่ย สำหรับค่าดำเนินการในการทำ passport นั้น เดี๋ยวนี้ ราคา 1,000 บาท ถ้าจะให้ส่ง passport ไปที่บ้าน เพิ่มอีก 35 บาทแต่ขอแนะนำให้เตรียมเงินไว้ให้พอดี เพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ เค้ายังดุ เหมือนเดิม ยกตัวอย่างดังนี้
เจ้าหน้าที่: ค่าจัดส่ง 35 บาท
บี: ยื่นแบงค์ ร้อย ไป
เจ้าหน้าที่: ไม่มีทอน
บี: ไม่มีเศษเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่: ไม่รู้ ไปหาแลกมาละกัน
บี: แลกที่ไหนล่ะ
เจ้าหน้าที่: ไม่รู้ ไปหาแลกมา แง่ง ... (เจ้าหน้าที่ใช้หางเสียงที่ทำให้บีเกิดอุปาทานออกอาการหูแว่ว ได้ยินคำว่า "แง่ง" ตามมา)
ด้วยบริการที่ดียิ่งของเจ้าหน้าที่ บีก็วิ่งหาที่แลกเงิน โชคดีที่ด้านบนมีธนาคาร บีก็เดินเข้าไปในธนาคารแล้วบอกว่า ขอแลกเงินค่ะ เจ้าหน้าที่ข้างล่างเค้าไม่ทอน พนักงานธนาคารฟังแล้วก็ยิ้มๆ ทำให้เข้าใจได้ว่า อาจจะมีคนโดนอย่างนี้หลายคนแล้ว พนักงานธนาคารก็เลยแสดงความเข้าอกเข้าใจและแลกเงินให้อย่างดี พอแลกเสร็จก็เอาเงินไปชำระให้เสร็จสิ้น คือจริงๆ ถ้าเตรียมเงินพร้อมๆไป น่าจะดำเนินการทุกอย่างเสร็จภายใน 15 นาที

และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ครอบครัวน้องธีร์รีบมาที่บ้านสายสี่กันแต่เช้า เนื่องจากกลัวว่า จะกลายเป็นจุดอ่อนให้โดนกำจัดกันตั้งแต่ยังไม่ไป ดังนั้น วันที่ออกเดินทางคนที่ช้าที่สุดก็คือ บี โชคยังดีที่ไม่ได้ช้ามากจนกลายเป็นจุดอ่อน ... อิ อิ อิ

ไปถึงสนามบิน ก็คิดกันว่า ควรจะหาอะไรใส่ท้องไว้ก่อน เผื่ออาหารบนเครื่องบินใบพัดไม่ถูกปาก เราจะได้ไม่อดตาย คิดแล้วก็เลือกเอาเบอร์เกอร์คิงส์เป็นแหล่งเสบียง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รู้แต่ว่า เบอร์เกอร์คิงส์มีอยู่ฝั่งเดียว และฝั่งที่มันอยู่ ดันเป็นฝั่งตรงข้ามกะที่เราจะขึ้นเครื่อง แต่ด้วยความขยันขันแข็ง ก็เดินไปกัน เดินไปกิน กินเสร็จ เดินกลับไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็เห็นว่า ทางที่เราจะไปขึ้นเครื่องนั้นก็มีเบอร์เกอร์คิงส์ ธ่อ อุตส่าห์เดินไปตั้งไกล จากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่า เดี๋ยวนี้ เบอร์เกอร์คิงส์นั้น มีทั้งสองฝั่งแล้วนะเออ เป็นเพราะว่า เราใช้เวลาเดินกันเยอะไปหน่อย ทำให้เวลาที่เหลือในการช็อปปิ้งนั้น เหลือน้อยเต็มที เราไปถึงที่ ประตูกันตรงเวลามาก ตรงซะจนคิดว่า จะไปถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายซะแล้ว แหะ แหะ แหะ ไปถึงก็ไปเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อน ก่อนจะเดินไปยื่นตั๋วโดยสารให้พนักงานดู จากนั้นก็ลงบันไดเลื่อน เพื่อไปยืนคอยบนรถ คอยและคอย และคอย คอยคนสองคนที่คงจะช็อปปิ้งจนเพลิน เพลินเสียจนทำให้คนอื่นๆที่เหลือต้องรอซะนาน รอจนในที่สุด รถก็ยอมวิ่งไปที่เครื่องบินให้เราขึ้นเสียที เครื่องบินที่เราจะขึ้นนั้น เป็นเครื่องบินใบพัด ลำไม่ใหญ่มาก เล็กกะทัดรัด เหมาะกะสนามบินหลวงพระบางนัก เพราะว่า สนามบินหลวงพระบางนั้นไม่ใหญ่ ถ้าเอาลำใหญ่ๆไปคงลำบาก

น้องธีร์นั้นพอได้ขึ้นเครื่อง นั่งเล่นอยู่สักพักก็หลับไป ไปตื่นเอาอีกทีโดยการปลุกตอนเครื่องบินจอดแล้ว ตอนอยู่บนเครื่องก็มีการกรอกเอกสารขาเข้าเมืองหลวงพระบาง พยายามอ่านภาษาลาว บางคำก็อ่านออก บางคำก็อ่านไม่ออก ต้องอาศัยภาษาอังกฤษ sub title ด้านล่าง ถึงจะพอกรอกได้ นี่คือบรรยากาศเมืองหลวงพระบางที่ได้เห็นจากบนเครื่องบินพอถึงสนามบินหลวงพระบาง เราก็เดินลงจากเครื่องบินเพื่อเข้าไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเล็กๆน่ารักของหลวงพระบาง ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่และไปยืนรอกระเป๋า ซึ่งสนามบิน เห็นมีสายพานอยู่อันเดียว ระหว่างรอ น้องธีร์ก็กินฟรายเหี่ยวๆของเบอร์เกอร์คิงส์ ซึ่งตอนแรก บีกะจะทิ้งแล้ว นึกว่าคงไม่มีใครกิน ที่ไหนได้ สมธีร์ ยังคงกินได้อย่างเอร็ดอร่อย รอไม่นานนัก เราก็ได้กระเป๋ากันครบ เดินออกไปก็มีคนมารอรับ ยืนชูป้ายชื่อ ป๊า หรา ให้เรามั่นใจว่ามีคนมารอรับเรา การเดินทางครั้งนี้ เป็นคณะทัวร์เล็ก ผู้ใหญ่ 5 เด็ก 1เป็นคณะทัวร์แบบกันเองมากๆ พร้อมจะออกเดินทางเมื่อไหร่ก็ทำได้ตามที่ชาวคณะเราจะพร้อม จะกินข้าวกินโมงก็เลือกได้ รู้สึกดีและสะดวกสบายเป็นอย่างมาก

ระยะเวลาที่อยู่ในหลวงพระบางสามวันนั้น จะว่าไป ก็ไม่ได้สัมผัสกะชาวหลวงพระบางอย่างเต็มที่ เลยไม่สามารถบอกได้ว่า ชาวหลวงพระบางนั้นน่ารักเหมือนที่เขียนพร่ำพรรณนาไว้ในหนังสือหลายเล่มหรือเปล่า รู้แต่ว่า เมืองหลวงพระบางเป็นเืมืองเล็กๆ ไม่วุ่นวาย ไม่พลุกพล่าน บรรยากาศโดยรวม ถูก freeze ให้คงบรรยากาศไว้เช่นนั้นด้วยความที่เป็นมรดก อาหารที่หลวงพระบางก็รสชาติไม่เลวนัก ภาษาลาวเป็นภาษาที่น่ารักและมีเสน่ห์อยู่ในตัวเมื่อดูในความหมายของคำไทย ยกตัวอย่างเช่น

ไฟจราจร ไฟแดง ภาษาลาว จะเรียกว่า ไฟอำนาจ (เห็นมะ มันก็เป็นไฟที่มีอำนาจจริงๆ สามารถบอกให้รถหยุดได้) ไฟเหลือง ภาษาลาวจะเรียกว่า ไฟลังเล (อันนี้ก็จริง เพราะพอเป็นไฟเหลือง คนจะลังเลว่าจะเหยียบมิดๆ หรือว่าจะจอดดี) ส่วนไฟเขียวจะเรียกว่า ไฟอิสระ สี่แยกหนึ่งแถวตลาดมืด ชาวหลวงพระบางเรียกว่า สี่แยก วัดใจ เนื่องจากตรงนี้ไม่มีไฟจราจร ก็ต้องวัดใจกันว่า ใครจะหยุด หรือ ใครจะไป สระน้ำแห่งนึงที่เคยมีน้ำ ปัจจุบันน้ำแห้งไปแล้วและมีรูปพระแม่ธรณีอยู่ มีชื่อว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่า พอได้ยินชื่อ ชอบมาก เพราะความหมายประมาณว่า ให้ิจินตนาการเอาเองว่าตรงนี้เคยมีน้ำ

สรุปแล้วโดยรวมการไปหลวงพระบางครั้งนี้ก็สนุกสนานดี บรรยากาศก็ดี ดังจะเห็นได้จากรูปข้างล่าง
ข้างล่างนี้เป็นบรรยากาศภายในโรงแรม The Grand Luang Prabang ซึ่งในอดีตเคยเป็นวังเก่า ในวงเล็บ แค่ตึกๆเดียวที่เป็นวังเก่า ส่วนที่เป็นที่พักของโรงแรมนั้นคือส่วนที่สร้างขึ้นมาใหม่ส่วนรูปข้างล่างนี้เป็นบรรยากาศของตลาดมืดของชาวหลวงพระบางเอาล่ะ ในเมื่อมีสิ่งดีแล้ว สิ่งไม่ดีย่อมมี เป็นของคู่กันตามธรรมดาโลก ในความคิดเห็นส่วนตั้ว ส่วนตัว สิ่งที่ไม่ดีที่สุด และไม่ชอบถูกสุดของหลวงพระบางก็คือ มดเยอะมากไปหน่อย แถมไม่ได้มาเดินเล่นให้เห็นกันแค่ตัวสองตัว มากันทีเป็นฝูง เป็นเหตุให้เกิดอาการขนลุกได้ตลอดเวลา ... ทุกที่ ทุกแห่ง ทุกสถานที่ได้ไปเยี่ยมเยือน เป็นต้องเจอมด มด มด ... ง่ะ ... น่ากลัวชะมัด

Sunday, July 20, 2008

Gooood Old Friends

อ่านหัวเรื่องแล้ว อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ว่าเราหมายถึงเพื่อนแก่ๆ ทั้งหลาย ... ไม่ใช่แต่อย่างใด ... อิ อิ อิ

ก่อนหน้านี้เคยเขียนเรื่องเพื่อนมาครั้งนึงและบอกไว้ว่า ถ้ามีโอกาสจะเอาโฉมหน้าเพื่อนๆแบบอัพเดทมาให้ยลกัน ในที่สุด โอกาสดีก็มาถึง เพราะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสรวมตัวกันแบบพร้อมหน้า หายไปหนึ่งหน่วย เนื่องจากไม่ใจ ไม่ยอมบินกลับมาจากอเมริกา เพื่อมาถ่ายรูปฉลองวันรับปริญญาให้กะหน่องชัช แต่ไม่เป็นไร เพื่อนๆให้อภัย เห็นแก่หนูน้อยนามิ ที่ชาญฉลาด ไม่ยอมมีหน้าตาเหมือนแม่ :P ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... (เบบี้ แกไม่ได้อ่านบล็อคชั้นใช่มั้ย?)

ว่าแล้ว ดูรูป อัพเดทกันแบบสุดๆเลยดีกว่า ดูเสร็จแล้วค่อย เลื่อนลงไปดูบล็อคเก่าข้างล่าง ว่าแต่ละตัว เอ้ย แต่ละคนมีวิวัฒนาการกันไปในทางด้านใดและแค่ไหน เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา มันมีผลกับพวกเราเพียงใด
หุ หุ หุ จบการอัพบล็อคแบบย่อแต่เพียงเท่านี้ คนเขียนขี้เกียจเหลือเกิน

ปล.แรก Congratulation นะหน่องชัช
ปล.สอง สำหรับผู้ที่สนใจอยากเห็นพวกเราเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่เลย
ปล.สุดท้าย ข้อความข้างบน อ่านดูแล้วเหมือนประโยคโฆษณา ยังไงไม่รู้เนอะ

Tuesday, July 8, 2008

สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจ

ก่อนหน้านี้ บีมีความคิดว่า การบริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ และ การบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ นั้น เป็นสิ่งที่ยุ่งยากมากมาย ต้องใช้แรงกาย แรงใจอย่างมากในการกระทำ ไม่รู้ว่า เมื่อก่อนนี้กลัวอะไรกับการบริจาคทั้งสามอย่างนี้ รู้แต่ว่า มีความกลัวลึกๆในจิตใจ เลยได้แต่อยากบริจาค แต่ไม่กล้าบริจาค อยากๆ กลัวๆ อยู่สักพัก จนในที่สุดก็ตัดสินใจ เอาเถอะ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะมากลัวอะไร ถ้าสิ่งที่เราเอาไปไม่ได้ ไม่ได้ใช้แล้ว แต่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ก็ให้เค้าไปใช้เถอะ พอตัดสินใจได้ และได้ บริจาคจริงๆ ก็รู้ได้ว่า การบริจาคทั้งสามอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก แค่ อาศัยความตั้งใจและสละเวลาเล็กน้อยในการทำ ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ขออนุญาตเอาประสบการณ์และข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง

อย่างแรก การบริจาคดวงตา จำได้ว่านี่เป็นสิ่งแรกที่ไปบริจาค จำได้ว่า วันนั้นเมื่อหลายปีที่แล้ว หลังจากบริจาคเลือดเสร็จแล้ว ก็มีความคิดว่า ไหนๆก็มาสภากาชาดไทยแล้ว บริจาคดวงตาด้วยเลยดีกว่า ไหนๆก็ไหนแล้ว ก็เลยถามพี่ รปภ. ของสภากาชาดไทยว่า จะไปบริจาคดวงตานี่ต้องไปที่ไหน พี่เค้าก็บอกทางไป ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฒโน)ชั้น 7 พอไปถึง การบริจาคก็ไม่ยาก แค่ไปกรอกเอกสารยินยอม และ รอรับบัตรประจำตัวผู้บริจาคดวงตากลับมา แค่นี้เอง สำหรับผู้ที่สนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดูได้จากเว็บนี้ http://www.eyebankthai.com/

อย่างที่สอง การบริจาคอวัยวะ อันนี้ก็สามารถทำได้ที่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยเช่นกัน เป็นตึกเดียวกับที่บริจาคดวงตาแต่คนละชั้น ถ้ามีเวลา สามารถ บริจาคสองอย่างนี้ ได้ ภายในวันเดียว การบริจาคอวัยวะนี้ ก็เช่นกัน แค่ไปกรอกเอกสารยินยอม และ รอรับบัตร สำหรับผู้สนใจ สามารถ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บนี้ http://www.organdonate.in.th/

สำหรับการบริจาคอย่างที่สาม คือการบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ อันนี้เป็นประสบการณ์ล่าสุดเพราะเพิ่งไปทำมาเมื่อวาน ก่อนหน้านี้ บีคิดว่า เป็นอะไรที่ยุ่งยากมากทีเดียว เพราะเคยรู้มาว่า ต้องไปที่โรงพยาบาลศิริราชเท่านั้น แค่คิดว่าจะไปศิริราชก็ลำบากแล้ว เพราะศิริราชในความคิดนั้น เป็นอะไรที่ไปไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง ที่จอดรถก็แสนจะหายาก แต่เมื่อเร็วนี้ๆ ได้หาข้อมูลใหม่ ว่า จริงๆแล้ว การบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่นั้น เราสามารถทำได้หลายแห่ง นอกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้ว โรงพยาบาลรามาฯ โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลอื่นๆที่มีนักศึกษาแพทย์ก็สามารถทำได้เช่นกัน หลังจากหาข้อมูลได้พอสมควร ก็ตัดสินใจว่าจะไปบริจาคที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เนื่องมาจากว่า ต้องไปทำธุระแถวนั้นอยู่แล้ว พอได้ฤกษ์งาม ยามสะดวก หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจแวะเข้าไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากวนๆ รถอยู่หลายรอบ หาที่จอดรถไม่ได้สักที เพราะที่โรงพยาบาลจุฬาใช่ว่า รถจะน้อย คนจะน้อยซะเมื่อไหร่ และก็ไม่รู้ว่า ตึกที่รับบริจาคอยู่ตรงไหนด้วย ก็เลยตัดสินใจโทรไปสอบถาม ได้ความมาว่า ตึกที่รับบริจาคชื่อ ศาลาทินฑัต เป็นเรือนกระจกเล็กๆอยู่ข้างๆตึก ภปร. เลยขับรถวนเข้าไปแถวตึกที่รับบริจาคและแจ้งพี่รปภ.ว่า จะมาบริจาคค่ะ พี่รปภ. ก็ใจดี รีบอำนวยความสะดวก หาที่จอดรถให้ พอจอดรถได้ ก็เข้าไปบริจาค ขั้นตอนการบริจาคก็ไม่ยุ่งยาก แต่ต้องเตรียมรูปถ่ายขนาด หนึ่งนิ้ว ไปสองรูป และ สำเนาบัตรประชาชน กรอกเอกสารนิดหน่อย เพื่อแสดงความจำนง แล้วก็รอรับบัตร เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

ปล. ในกรณีที่ไม่สะดวกเดินทางไปเอง แต่อยากบริจาคดูรายละเอียดได้จากข้อมูลข้างล่าง

ผู้สนใจสามารถติดต่อที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาฯ หมายเลขโทรศัพท์ 02-256-4628 ในเวลาราชการ หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มการบริจาคร่างกายจาก http://www.md.chula.ac.th/anatomy/donatebody.html แล้วกรอกข้อความส่งมาที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย เขตปทุมวัน กทม.10330 ได้ทุกวัน

ลืมบอกไปว่า การบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่นั้น เค้ารับในกรณีที่อวัยวะภายในยังอยู่ครบ บางคนก็จะมีความสงสัยว่า อ้าว อย่างงี้ ถ้าเราบริจาคอวัยวะไปแล้ว และจะบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ได้เหรอ อันนี้เท่าที่รู้มา เค้าบอกว่า ได้ เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ณ วันที่เราสิ้นอายุขัย วันนั้น อวัยวะของเรา อาจจะไม่สามารถเอาไปให้คนอื่นใช้ได้ ก็เป็นได้ ดังนั้น ณ ตอนนี้ เราสามารถดำเนินการแสดงเจตจำนงค์บริจาคทุกอย่าง แล้ว พอเราไม่มีชีวิตแล้ว ค่อยให้ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ของเราเป็นผู้ตัดสินใจ :-D

- สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย : สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น -

Tuesday, June 24, 2008

กองทัพเดินด้วยท้อง

ถ้าใครติดตามบล็อคน้องธีร์จะเห็นได้ว่า เคยมีการเอารูปอาหารส่วนหนึ่งจากร้านแดง ณ สมุทรสงคราม มาลง วันนี้ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชิมอีกครั้ง (รู้สึกว่า ช่วงนี้ ร้านนี้เป็นร้านอาหารยอดฮิต ไปบ่อยเหลือเกิน) ไปเพชรบุรีทีไร ขากลับต้องได้แวะทุกครั้งไป วันนี้เลยเอารูปมาลงเพิ่มเติม

เริ่มจาก ปูผัดพริกไทยดำ จานละพันห้า (--")\

กุ้งทอดกระเทียม
ปลากระพงทอดน้ำปลา
หอยหลอดผัดกระเทียม รสชาติเป็นมิตรขึ้น หลังจากที่คราวที่แล้ว สั่งผัดฉ่า เผ็ดเกินไป พ่นไฟได้เป็นนาจาเลยทีเดียว

จริงๆ เราไม่ได้กินกันเท่านี้ เรายังมี ข้าวผัดกุ้งจานใหญ่อีกสองจาน และ ต้มยำปลาทู อีก ผักหวานคราวนี้ไม่มีเพราะ ผักจะมาส่งช่วงเย็นวันนี้ ส่วนเนื้อปู ก็ยังไม่มีเหมือนกัน ดังนั้นอาหารของเราจึงมีแต่เพียงเท่านี้ พอถึงตอนจบ ก็อิ่มเกินไปอีกแล้วคับพี่น้องคับ ... เอื๊อก ... อิ่ม

Saturday, June 21, 2008

เหตุเกิดจากความสงสัย หรือ กวนทีน ???

ทำไม คนที่เราไม่ชอบหน้าทำดีกะเรามากมาย เราก็ยังไม่ชอบหน้าอยู่ดี แต่กับคนที่เราชอบหน้า ถึงแม้ว่า เค้าจะทำไม่ดีกับเราสักแค่ไหน เราก็ยังหาเหตุผลมาลบล้างความไม่ดีที่โดนกระทำ แล้วก็หลับหูหลับตา อภัยให้เค้าแล้วก็ชอบเค้าได้ต่อไปอยู่ดี หรือคนเราส่วนใหญ่เป็นพวกซาดิสต์

ทำไม คนเราชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่พอเรื่องของตัวเองกลับไม่อยากให้คนอื่นมายุ่ง วุ่นวาย ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะอยากรู้เรื่องของคนคนหนึ่งเป็นพิเศษว่า เค้าสบายดีมั้ย ทำอะไรอยู่ อยู่ดี มีสุข หรืออย่างไร โดยที่เราไม่ได้คิดว่า การที่เราอยากรู้มากจนเกินไปหรือถ้าเค้ามาทำอย่างนี้กับตัวเราเอง เราอาจจะเกิดการรำคาญ และขอร้องคนอยากรู้อยู่ในใจว่า "ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ย"

ทำไม ฮอร์โมนถึงมีผลกับอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น คนมักจะพูดว่า ผู้หญิงตอนมีประจำเดือน ไอ้ฮอร์โมนนิสัยไม่ดีตัวนึงจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ฉุนเฉียว โกรธง่าย โกรธได้โดยไร้เหตุผล ส่วนผู้ชายบางคนพออายุมากเข้า ไอ้ฮอร์โมนนิสัยไม่ดีตัวนึงก็จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้มีอาการเอาแต่ใจตัวเองอย่างเหลือร้าย ไม่มีเหตุผล ขัดใจไม่ได้ ขัดใจจะเกิดอาการปี๊ด เป็นที่เดือดร้อนของผู้ใกล้ชิดเป็นอันมาก ข้อสงสัยข้อนี้เป็นการสงสัยใคร่รู้ในเชิงวิชาการ อยากได้วิทยาศาสตร์มาช่วยอธิบาย แต่ขี้เกียจ search หาในพี่เกิ้ลด้วยตัวเอง อาการที่ยกตัวอย่างนี้ มันจะใช่เพราะฮอร์โมนจริงๆเหรอ หรือเป็นสิ่งที่ยกมาเป็นเหตุผลให้ผู้เดือดร้อนอยู่รอบข้างพยายามทำใจแล้วก็อภัย เอาเจ้าฮอร์โมนตัวนี้เป็นไอ้ปื๊ด ไว้โทษมันฝ่ายเดียว แต่ถ้ามันเป็นเพราะฮอร์โมนจริงๆ เราจะรักษาอาการที่ว่านี้ได้มั้ย โดยการเพิ่มหรือลดเจ้าฮอร์โมนตัวนี้ให้เค้า หรือการรักษาทางเดียวที่ดีที่สุดและควรทำ คือ คนรอบข้างควรจะทำใจ ยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น หาเสื้อเกราะกันกระสุนหรือหายันต์จากเจ้าพ่อ เจ้าแม่ที่น่าเชื่อถือมาพกไว้และปล่อยเค้าเป่งพลังใส่เราต่อไป

ข้อสงสัยยังมีอีกมากมาย แต่ถ้าเขียนต่อไป คนอ่านบางคนอาจจะเข้าใจว่า ไอ้นี่มันว่างเกินไป คิดไรฟุ้งซ่านไร้สาระอีกละ ดังนั้นขอจบแต่เพียงเท่านี้ดีกว่า เพื่อตัดตอน และคนเขียนจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อไป

ปล. แรก ข้อแนะนำในการอ่านบล็อคนี้คือ ไม่ควรร้อนตัว อ่านผ่านๆไป เพื่อการบันเทิง อ่านจบแล้วจบกัน

ปล. ต่อไป ความสงสัยเหล่านี้ ไม่ได้เป็นข้อสงสัยที่เขียนขึ้นมาเพื่อล่อเป้า หรือ เพื่อสร้างประเด็นให้เกิดความร้าวฉานแก่ผู้อ่านคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ เป็นคำถามที่คนเขียน สงสัยเล่นๆ แล้วใช้บล็อคเป็นกระดาษทดเท่านั้น

ปล. สุดท้าย ทำไมต้องมีปล. แรก และ ปล.ต่อไป ทำไม ไม่รวมไว้เป็น ปล.เดียวล่ะ

(-/\-) สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน

Thursday, June 19, 2008

เบื้องบนยังมีแสงดาว

เมื่อวานได้มีโอกาสนั่งอ่านหนังสือ ที่เพื่อนคนนึงให้มาตั้งแต่ คริสต์มาสปีที่แล้ว เป็นหนังสือเล่มเล็ก ที่ใช้เวลาอ่านเพียงไม่นานก็จบเล่ม แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้นั่งอ่าน หนังสือเล่มนี้ ชื่อ "เบื้องบนยังมีแสงดาว" ของ วินทร์ เลียววาริณ

หน้าปกเค้าบอกว่า เป็นหนังสือเสริมกำลังใจ ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... ไม่แน่ใจว่าที่เพื่อนให้มานี่เป็นเพราะหน้าตา ดูเหมือนเป็นคนขาดกำลังใจหรืออย่างไร ... อิ อิ อิ ... ไหนๆก็ได้อ่านแล้ว ก็ขอยกตัวอย่างบางส่วนมาแบ่งปันเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กะผู้อื่นด้วยก็แล้วกันเนาะ

หากเปรียบชีวิตในแต่ละวันเป็นลูกเต๋า หมายเลข 1 คือ สุขระดับต่ำสุด หมายเลข 6 คือ ความสุขระดับสูงสุด โอกาสที่จะทอดให้ได้ "สุขสูงสุด" ในหนึ่งวันมีเพียงหนึ่งในหก โอกาสที่จะทอดได้หมายเลข 6 ทุกวันเป็นเวลาเต็มหนึ่งปีต่ำกว่านั้นมาก และต่ำลงไปอีกหากควาดหวังว่าจะสุขทุกวันที่เหลือในชีวิต

"วันดี" ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ระดับ "วันดี"ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน "วันไม่ดี"ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน "วันไม่ดี"ของบางคนเกิดขึ้นนานๆครั้ง ของบางคนเกิดขึ้นแทบทุกวัน แล้วพาลระบายความอึดอัดออกไปให้ผู้อื่น พลอยทำให้วันดีของคนอื่นกลายเป็น "วันไม่ดี" ไปด้วย (พออ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า เออ แหะ เหมือนเคยเจอกับตัวเองบ้าง บางครั้ง :P ) ชีวิตในแต่ละวันไม่เหมือนกัน และนี่คือเสน่ห์ของการใช้ชีวิต คือสุขปนทุกข์

ปราชญ์กรีก โซเครติส กล่าวไว้ว่า "จำไว้เถิดว่าเรื่องของมนุษย์นั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นเลี่ยงความสุขอันไม่จำเป็นเมื่อรุ่งเรือง หรือความหดหู่หม่นหมองโดยไม่จำเป็นในห้วงยามของความยากลำบาก" เวลาสุข อย่าลืมทุกข์ เวลาทุกข์อย่าลืมสุข

"ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนั้นก็จัดว่าเป็นวันที่ดีได้"

Saturday, June 14, 2008

เพื่อน

เคยลองนึกกันหรือเปล่า ว่า เพื่อนที่ทุกๆวันนี้คบกันมา เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว สำหรับ บี เพื่อนที่คบกันนานมากที่สุดเห็นจะคบกันมา 25 ปีละโดยประมาณการ รู้จักกันตั้งแต่ ป.มูล (เข้าใจว่า เทียบชั้นอนุบาลสามนะ ที่เขมะฯ จะมีชั้น ป.มูล ก่อนขึ้นชั้น ป. 1) จนปัจจุบันนี้เราก็ยังรู้จักกันอยู่ ได้คุยอัพเดทกันบ้างตามที่โอกาสจะอำนวย เพื่อนคนนี้มันชื่อ ฝน ไอ้ฝนเล่าว่า ตอนเด็กๆ มันจะเกลียดหน้าบีมาก เพราะว่า บีเป็นคนดี และ เรียบร้อย :P ฮ่า ฮ่า ฮ่า รู้จักกันมาหลายปีดีดัก มาสนิทสนมกลมเกลียวกันตั้งแต่ตอนที่มีเหตุให้ย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่เบญจมฯ ความบังเอิญทำให้ต้องอยู่ห้องเดียวกัน ความดีและความเรียบร้อยในตัวบีเริ่มหายไปในสายตามัน เรากินขนมในห้องเรียนด้วยกัน โดดเรียนพร้อมกัน เล่นเกมส์ในห้องเวลาเรียนด้วยกัน(พูดให้ดูดีแต่จริงๆแล้วคือเล่นไพ่ Slave) แล้วบางทีก็โดนทำโทษพร้อมกัน พูดถึงไอ้ฝนแค่นี้พอ เพราะบล็อคนี้เรื่องที่จะพูดถึง ไม่ใช่เรื่องมัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า

จะว่าไปชีวิตที่โรงเรียนสมัย มัธยมปลาย ไม่เหมือนไปโรงเรียน เหมือนไปเล่นกับเพื่อนมากกว่า ช่วงนั้นเลยเป็นช่วงติดเพื่อนช่วงหนึ่งของชีวิต สนุกสนาน เฮฮาไปวันๆ ตื่นเช้าไปโรงเรียน เริ่มกิจวัตรประจำวันด้วยการนั่งตุ๊กๆ ไปบ้านเพื่อนเพื่อขอกินโจ๊ก จนหลังๆกลายเป็นกิจวัตรประจำ หรือไม่ก็ไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อเล่นบาสฯบ้าง เดินไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูเด้งในซอยข้างโรงเรียนบ้าง บางทีก็ปีนรั้วกำแพงไปสั่งอาหารเช้าบ้าง สร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิตก่อนเข้าห้องเรียนเพื่อไปนั่งเล่นในห้อง เอาข้าวที่เสี่ยงชีวิตสั่งเมื่อเช้าหนึ่งห่อ มาแบ่งกันกินในห้องระหว่างที่อาจารย์ก็สอนกันไป กินขนมในห้องเรียนบ้าง ตามประสาเด็กกำลังโต เมนูยอดฮิตคือ ไวไวแห้งใส่เครื่องปรุง เป็นไวไวร่วมสาบานมาก ห่อเดียวกินกันหลายคน เที่ยง กินข้าวที่วัด เหมือนเป็นเด็กวัด ถ้าใครเคยผ่านไปแถวโรงเรียนเบญจมฯ จะรู้ว่า โรงเรียนอยู่ฝั่งตรงข้ามวัดสุทัศน์ ข้ามถนนไปก็ถึง พูดถึงวัดกะโรงเรียน มีเรื่องเล่าที่จำได้แม่นอยู่เรีองหนึ่ง มีอยู่ครั้งนึง เพื่อนคนหนึ่งกำลังจะเรียกตุ๊กๆ เพื่อหนีโรงเรียนไปกินขนม แต่โชคร้าย อาจารย์มาจับได้เสียก่อน อาจารย์ถามว่า จะไปไหนกัน เพื่อนมันตอบว่า "เราจะไปวัดสุทัศน์กันค่ะ" อาจารย์ถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้จะด่าว่าอย่างไรดี ให้สมกะความกะล่อนของมัน เลยทำแค่ลากตัวกลับเข้ามาในโรงเรียน กิจกรรมหลังโรงเรียนเลิกส่วนมากก็คือเล่นบาสฯ(อ่านดูแล้วเหมือนชีวิตนักกีฬาเนอะ เล่นบาสฯทั้งวัน นี่ถ้าแม่ส่งเสริมสักหน่อย อาจจะได้ติดทีมชาติกะเค้าบ้างก็เป็นได้)ถ้าไม่เล่นบาสฯ ก็เดินทางไปหาของกิน แถวโรงเรียน ซึ่งขนมแถวโรงเรียนที่ยอดฮิต ก็ไม่พ้น มนต์นมสด สมัยที่ยังไม่ติดแอร์ ยังเป็นร้านเล็กๆ อยู่ข้างคลอง บีว่า รสชาติดีกว่า ปัจจุบันนะ ก็สมัยนั้น เจ้าของมนต์เค้าลงมือทำให้กินด้วยตัวเองนี่หน่า หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็จะเดินกลับบ้าน ในเวลาเย็นย่ำ การที่กลับบ้านกันเย็นย่ำเพื่อให้ผู้ปกครองได้มีโอกาสว่ากล่าวกันบ้าง กลัวชีวิตจะเงียบเหงาเกินไป ไม่มีใครคุยด้วย

สงสัยล่ะสิ ว่าทำไม วันนี้มานั่งระลึกความหลัง เหตุเป็นเพราะว่า วันนี้มีโอกาสได้พบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมปลายหลังจากที่เราไม่ได้เจอหน้าเจอตากันมาปีกว่า ไม่อยากจะบอกว่าเรามีชื่อกลุ่มกันด้วยนะ เสมือนหนึ่งเป็น Gangster ชื่อว่า "Fainoi Group®" จำไม่ได้แล้วว่า ได้ชื่อนี้มายังไง เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนคนใดอ่านแล้วจำได้ว่า ชื่อกลุ่มมาเช่นไร ช่วยบอกที บีจำไม่ได้ละ

ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะคบกันได้ยาวนาน ปีนี้ก็เป็นที่16แล้วกระมั๊ง โดยการนับแบบคร่าวๆ (สิบหกปี แห่งความหลังงงงงง)ผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ร้องไห้ด้วยกันก็หลายหน หัวเราะด้วยกันก็มากมาย วันนี้กลับบ้านว่างๆก็เลยถือโอกาส เปิดอัลบั้ม รำลึกความหลังดูรูปสมัยยังละอ่อนดูซะหน่อย พอดูรูปแล้วรู้สึกฮา หน้าตาตัวเอง ขำมาก ขำหน้าตัวเองคนเดียวยังไม่พอ ยังได้ขำหน้าเพื่อนๆอีก กาลเวลามันทำให้หน้าคนเปลี่ยนไปเหมือนกันเนอะ

คราวนี้จะขำคนเดียวคงไม่พอ ต้องเอารูปมาขึ้นบล็อคเพื่อประจานกันเลยดีกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกล้งเพื่อนนี่สนุกดีเนอะ โดยเฉพาะ เวลาแกล้งแล้วเพื่อนเอาคืนไม่ได้ (ไว้มีโอกาสต้องลงรูปอัพเดทล่าสุด ดูพัฒนาการของแต่ละคน) หุ หุ หุ


"Good friends are like stars. You don't always see them, but you know they are always there"

ปล. ขอบคุณนะ ที่ไม่เคยทิ้งกันเลยที่ผ่านมา ขอบคุณมากสำหรับทุกๆความทรงจำ และสุดท้าย ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อนที่มีให้กันและกัน

Wednesday, June 11, 2008

Thursday, May 29, 2008

ท่องไปในญี่ปุ่น

อย่าเข้าใจผิด ว่า เราไปญี่ปุ่นเพื่อไปกิน แล้วก็ กิน อย่างเดียว เรามีกิจกรรมอื่นๆด้วย ระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น กิจกรรมหลักของพวกเราก็คือ ช็อปปิ้ง เที่ยววัดและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆเป็นกิจกรรมเสริม มาดูกันเลยดีกว่า ไม่ควรพล่ามมาก เพราะขี้เกียจ พิมพ์ แหะ แหะ แหะ ดูรูปกันเลย

เมืองโอซาก้าค๊าบ ปราสาทโอซาก้า และ shopping street

ฮิเมจิ ปราสาทนกกระสาขาว ฮิโรชิมา

มิยาจิมะ

โกเบ

เกียวโต

ยังไม่หมดนะคับพี่น้องคับ ไว้ต่อตอนต่อไปพรุ่งนี้นะค๊าบ

อิ อิ อิ แล้วก็ขี้เกียจอัพที่เหลือ อยากเห็นรูปของที่อื่น ติดตามได้ที่เว็บของกู๋คิมนะค๊าบ ตามลิงค์ไปได้จาก บล็อคของน้องธีร์ ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... (บี เวอร์ชั่น ขี้เกียจมาก)

ของฝากจากญี่ปุ่น

กลับมาแล้วค๊าบ หลังจากหนีไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นมาเป็นเวลาเกือบสิบวัน นับว่า สนุกสนาน และ เหน็ดเหนื่อย พอตัว กะการกิน กิน กิน เดิน เดิน เดิน ท่องเที่ยว หลายที่ หลายแห่ง หลายเมือง เริ่มตั้งแต่ โอซาก้า เมืองแห่งปูยักษ์ ฮิเมจิ เมืองปราสาทนกกระสาขาว มิยาจิมะ เมืองหอยนางรม ฮิโรชิม่า เมืองอนุสรณ์ระเบิดปรมาณู เกียวโตเมืองแห่งวัด นาราเมืองกวาง โกเบเมืองเนื้อ ทาคายาม่า เมืองโบราณ โยโกฮาม่าเมืองที่มีราเม็งมิวเซียม และโตเกียว เมืองแห่งสีสันของการช็อปปิ้งและอาหารการกิน

ไม่ว่าจะไปญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม ยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดอาการเบื่อญี่ปุ่นจนไม่อยากไปอีก ไว้ถ้ามีโอกาสต้องขอไปเยี่ยมเยียนญี่ปุ่นอีก แน่ๆ ว่าแล้วก็เอาของฝากมาฝากกันก่อนละกัน





ไว้คราวหน้าเรามาดูสถานที่ท่องเที่ยวกันบ้างเนอะ ... วันนี้ไปก่อนละ ... enjoy eating ค๊าบ พี่น้อง ...

Friday, May 16, 2008

ก่อนย่ำแดนซามูไร

และแล้ว เทศกาลท่องเที่ยวก็ได้มาถึงอีกครั้ง การท่องเที่ยวครั้งนี้ น้องโม ได้ทำการ request มานานมาก บอกว่า เดือนพฤษภาคมไปเที่ยวกัน บีก็เลยเก็บเงินเก็บทองไม่ไปเที่ยวที่ไหนอีก เตรียมตัวไป ยุโรปเดือนห้าเต็มที่ แต่ไปๆมาๆ หลังจากที่บีและน้องๆต้องพับโปรเจ็คท่องเที่ยว ฝรั่งเศส อิตาลี ไปเนื่องจาก สถานทูตไม่เป็นใจ จองคิวทำวีซ่าเช็งเก้นตั้งแต่ ต้นๆเมษายน ได้คิวทำวีซ่า กลางเดือน พฤษภาคม เอกสารการขอวีซ่า ช่างวุ่นวาย ทำไม มันไปยากไปเย็นเช่นนั้น ตัดสินใจไม่ไปก็ได้วะ เปลี่ยนไปเที่ยวญี่ปุ่น ดินแดนที่เต็มไปด้วยของเล่น และ ของกินอร่อยมากมายดีกว่า

พอตัดสินใจได้เช่นนั้น ก็ดำเนินการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก ซื้อตั๋วรถไฟ ทำวีซ่า ซึ่งช่วงนี้ทางสถานทูตญี่ปุ่นใจดี เป็นช่วงโปรโมทการท่องเที่ยวญี่ปุน ก็เลยลดราคาค่าวีซ่าลงมา น้องโม ขยันทำการบ้านอย่างมากในการวางแผนท่องเที่ยว โดยเรา plan กันว่า จะเดินทางจาก กรุงเทพ ไป โอซาก้า และ ไป เกียวโต โกเบ นารา นางาซากิ นิกโก้ โยโกฮาม่า และ ปิดท้ายที่ โตเกียว

เราจะเริ่มออกเดินทางกันคืนนี้แล้ว แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังต่อว่า เราไปไหนกันมาบ้าง และ ที่สำคัญ อาหารที่เราไปชิม อร่อยแค่ไหน ... อิ อิ อิ ... อีก สิบกว่าวันเจอกันใหม่ค๊าบ

Wednesday, April 9, 2008

หัวหินเป็นถิ่นสำราญ ตอนจบ

เช้าวันอาทิตย์ เป็นวันสุดท้ายของการมาพักตากอากาศนอกบ้าน ของครอบครัว ณ บ้านสายสี่ ตื่นแต่เช้า ด้วยจิตใจมุ่งมั่น ว่าจะไปกิน ต้มเลือดหมู ที่ตลาด จำด้าย จำได้ ว่า เคยมีขายหน้าตลาด หรือ ในตลาดรึไงนี่แหละ จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่จำได้ว่ามีนา หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ป๊ะป๊า กะ หม่าม๊า ก็ตัดสินใจว่าจะไปท่องเที่ยวตลาดด้วย เพื่อไปหาซื้อโจ๊กให้หลานชายตัวธีร์

ไปถึงตลาด ตามล่าหา ต้มเลือดหมู ... หา หา หา แล้วก็หา แต่ไม่เจอ ... ที่ตลาดมี โจ๊ก ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดง หมูกรอบ ข้าวมันไก่ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ และ หมูปิ้ง ... ร้านยอดฮิตเห็นจะเป็นร้านข้าวหน้าเป็ดและหมูปิ้ง คนรอคิวยาวมากกกกกกกกกกกก ... ได้ออเดอร์มาจากกู๋คิมว่า จะกิน ข้าวหน้าเป็ด และ หมูปิ้ง ส่วนโมอิ๊ จะกินแต่หมูปิ้งอย่างเดียว ก็เลยไปเข้าคิวรอ สั่งหมูปิ้ง 20 ไม้ รอเข้าไปเกือบชั่วโมง พอได้อาหารครบทุกอย่างตามที่ต้องการ บีก็ล่วงหน้าไปก่อน ทิ้ง ป๊า กะ ม๊า รอ ข้าวหน้าเป็ดไป ส่วนบี ก็มุ่งหน้าไปสตาร์บัค สั่งกาแฟ และ ช็อคโกแลตเย็น ไปสังเวย พักทวกที่เหลือ

พอกลับไปถึงที่โรงแรม ป๊ากะม๊าก็ไปกินอาหารเช้าของโรงแรม ส่วน น้องธีร์กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่กะมารแม่ เป็นการส่งท้าย อำลาสระ โมอิ๊ เอาหมูปิ้งไปล่อ ไม่ทันไร น้องธีร์ ก็สละสระว่ายน้ำในทันใด ตามหมูปิ้งมาซะงั้น ... ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยหลานเรา ... หลังจากสมธีร์ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็มารับประทานอาหารเช้าริมสระว่ายน้ำ ... แต่เนื่องจากธีร์ดื้อยิ่งนักเลยจะโดนจับทิ้งน้ำ

นี่คือโฉมหน้าของธีร์ หลังจากที่รอดพ้นจากการถูกถ่วงน้ำมาได้
พอหม่ำๆกันจนเกินอิ่มแล้ว หม่าม๊าก็คิดว่า อยากจะไปเขาสามร้อยยอด เพราะมาหัวหินตั้งหลายทีแล้ว แต่ยังไม่เคยเลยไป เขาสามร้อยยอดสักกะที ... เพื่อเป็นการตามใจยอดคุณแม่ ... เราทุกคนก็เตรียมพร้อม มุ่งหน้าไปเขาสามร้อยยอด ระหว่างทางเห็นป้ายหลวงพ่อโต(มั๊ง) หรือหลวงพ่อ สักท่านอ่ะ หม่าม๊าก็บอกว่า เอ หรือเราจะไปไหว้พระกันก่อน เห็นป้ายเค้าบอกว่า ตรงไปจากตรงที่เห็นป้ายอีกประมาณ 5 กิโล ... แต่เอ๊ะ ขับเลยป้ายมาก็นาน เกือบๆหรือเลยห้ากิโลไปแล้ว ป้ายเลี้ยวไปสามร้อยยอดก็เลยมาแล้วสองสามป้าย ... พลขับบีเลยตัดสินใจแวะถาม คุณลุงที่ขับมอไซค์อยู่ข้างทาง ... คุณลุงบอกว่า ขับไปอีกสามสิบโลน่ะ แล้วถ้าจะไปสามร้อยยอดต้องขับย้อนกลับมา แล้วเลี้ยวไปตามป้ายอีกประมาณ ยี่สิบโล ... แล้วคุณคิดว่า พวกเราผู้มีศรัทธาอันแรงกล้า จะตัดสินใจอย่างไร

อิ อิ อิ ถูกแล้ว เราตัดสินใจยกเลิกการเดินทางไปไหว้พระ มุ่งหน้าไปเขาสามร้อยยอดเลยดีกว่า แต่เอ๊ะ ท้องฟ้า ตอนไปค่อนข้างจะมาคุนะเนี่ย เหมือนฝนจะตก ... ขับไปเรื่อยๆจนถึงทางเข้า อุทยานเขาสามร้อยยอด เราต้องจอดรถเพื่อไปซื้อบัตรผ่านทาง ผู้ใหญ่ 40 บาท และ รถ คันละ 30 บาท ชำระเงินเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าต่อไป เห็นป้ายเลี้ยวไป ถ้ำพระยานคร กะ ตรงไป อุทยานเขาสามร้อยยอด เราตัดสินใจเลี้ยวรถเพื่อไป เที่ยวถ้ำพระยานคร นี่คือหาดแถวที่จอดรถ
จากที่จอดรถ เค้าจะมีเรือให้เช่าเหมาลำ นั่งไปประมาณ 10 นาทีก็จะถึงตรงที่พักทางปีนเข้าถ้ำ เรือเป็นประมาณนี้
พอไปถึง ก็จะมีเจ้าหน้าที่ทวงถามบัตรผ่านทาง เอาบัตรให้เจ้าหน้าที่ดูแล้วเค้าก็ถามว่า จะส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนหรือเปล่า สนใจเอามัคคุเทศน์จิ๋ว นำทางมั้ย ส่วนค่านำทางแล้วแต่จะให้ หลังจากที่มองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้ว ก็ตัดสินใจกันว่า ก็ได้ เพื่อการศึกษาของเยาวชน

ไกด์เด็กของเราบอกว่า ใช้เวลาเดินเท้าไปและกลับโดยประมาณ ชั่วโมงครึ่ง พอป๊ะป๋าได้ยินเช่นนั้น ก็ถอดใจ ตัดสินใจรออยู่ที่ร้านอาหารข้างล่าง พอเดินกันไปจนจะถึงทางขี้น ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ตัดสินใจว่า พาธีร์ไปด้วยคงไม่ได้แน่ ธีร์ พี่ตี๋และมารแม่ ก็เลย ต้องรออยู่ที่ร้านอาหารเป็นเพื่อนป๊ะป๋า ที่เหลือ มุ่งหน้าต่อไปด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น ... ปีนไป 100 เมตรแรก ชิลๆ 100 เมตรที่สอง เริ่มเหนื่อย แฮ่ก แฮ่ก คุณหม่าม๊าต้องแวะพักเป็นระยะ เพราะช่วง สองร้อยเมตรแรก เป็นช่วงขึ้นเขา ทางค่อนข้างชัน แล้วก็คุยกันว่า ดีนะเนี่ย ที่ไม่เอาธีร์มาด้วย มิเช่นนั้น ตายแน่ๆ เอาตัวเองยังไม่รอด ต้องแบกอุ้มสมธีร์ อีก 15 โล ภาระหนักไม่ใช่เล่น ... ใช้เวลาเดินจนเหงื่อไหล ไคลย้อยมาสักพักแล้ว ในที่สุดก็มาถึงถ้ำพระยานคร ซึ่งในถ้ำมีการสร้าง ศาลาที่ประทับ มีกษัตริย์มาประทับแล้ว สามพระองค์ และในถ้ำ มีเก็บอัฐิของหลวงพ่อเงินไว้ด้วย หลังจากที่ ไปไหว้ อัฐิหลวงพ่อแล้ว เดินดูบรรยากาศรอบถ้ำ นี่คือบรรยากาศโดยรวมของถ้ำพระยานคร
ไกด์ตัวเล็กของเรา มีการบรรยายไป ปล่อยมุขไป เช่น พี่รู้มั้ยคับว่า สะพานที่เห็น ทำไม มดถึงเดินกันเยอะแยะ ... เป็นเพราะสะพานมันเชื่อมกันอยู่คับพี่ ... อืม ... นะ ... น้อง !@#!#!#

ขากลับ ใกล้จะถึงทางลง ฝนก็เริ่มตกหนัก ดีที่ทางลงเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาแน่น เราเลยไม่เปียกกันมาก แต่พอลงมาถึงตีนเขาแล้ว ระยะทางจาก ตีนเขาไปร้านอาหารที่ป๊ารออยู่นั้น เป็นทางโล่งๆ เราก็เลยเปียกกันมะล่อกมะแล่ก ฝนก็ตกหนักแล้วหยุด แล้วก็ตกหนักแล้วหยุด เราต้องเดินไปแย่งชิงกับประชาชนคนอื่นๆเพื่อขึ้นเรือกลับไปเอารถ ก่อนที่จะฝนจะตกหนักไม่หยุดแล้วจะต้องติดเกาะไปอีกนาน ด้วยความสามารถของป๊า เราก็ได้เรือ ขาไปขึ้นเรือขานี้ คลื่นแรงมั่ก เพราะฝนเพิ่งหยุดตกใหม่ๆ ตอนแรก ดี๊ด๊า คลื่นมา ... แรงขึ้น แรงขึ้น แล้วก็แรงขึ้น ... และ แล้วคลื่นก็ซัดมา แรงจน ซัมซุงน้อยของบี กินน้ำทะเลเข้าไปเต็มๆรัก พร้อมๆกะกระเป๋าสตางค์สุดที่รักก็เปียกซ่ก ... หลังจากเปียกกันหนำใจ ก็ปีนขึ้นเรือมาได้ ... พอกลับมาถึงหาดที่จอดรถได้ ทุกคนก็ต้องหาห้องอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้ากันโดยทั่วหน้า ไม่เว้นแม้น้องธีร์ ซึ่งสวมชุดบางเบา ซัมเมอร์คอลเลคชั่น ก็ต้องเปลี่ยนชุด อาบน้ำแต่งตัวก่อนใคร

พอเปลี่ยนชุดกันถ้วนหน้าแล้ว เราก็เดินทางออกจากอุทยานเพื่อกลับไปหัวหิน หาอาหารกลางวันหม่ำๆกัน ถึงร้านอาหารเจ้เขียวที่หัวหิน รับทานอาหารกลางวันกันตอนประมาณ สี่โมง ที่ร้านเจ้เขียวนี้ เราได้เจอ โดม ปกรณ์ ลัม ที่มารับทานอาหารที่เหมือนกัน คนขอถ่ายรูปกันให้ควั่ก แต่ทีมเราด้วยความหิว เลย ไม่สนใจ หันไปมอง ... โดม เหรอ ... เออ โดม ... แล้วก็หันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อไป

หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็เดินทางต่อมุ่งหน้ากลับบ้าน แน่นอน ก่อนกลับบ้านก็ต้องมีการแวะซื้อขนม โมอิ๊ มีการ request เรียกร้องอยากจะแวะซื้อขนมแม่กิม อะไรสักอย่าง เพื่อตามหาซื้อ ฝอยทองแสนอร่อย ก็ เอา ไปกัน บอกให้โมอิ๊ หาร้านชื่อ แม่พลุงพลุ้ยเพื่อแวะซื้อของ โมอิ๊ก็ไม่ยอม จะตามหาร้าน แม่กิมอะไรสักอย่างที่อยู่แถว outlet ที่เพิ่งล่มสลายไป (แต่โมอิ๊จำผิด โมอิ๊จำว่าอยู่ใกล้กะ outlet เปิดใหม่) จริงๆแล้ว มันไม่ได้อยู่ใกล้ outlet เปิดใหม่แม้แต่น้อย มันคือ outlet ที่ล่มสลายไปแล้วตะหาก หลังจากได้ ฝอยทองแสนอร่อย ดังที่ตั้งใจแล้ว ป้ายต่อไปของเราก็คือ ร้านขนมบ้านนันทวัน ช็อปปิ้งกันจนอิ่มอร่อยพอใจแล้ว เราก็มุ่งหน้ากลับบ้านกัน ชาวบ้านสายสี่ก็แยกย้ายกับน้องธีร์ พี่ตี๋และมารแม่ ที่ร้านขนมบ้านนันทวันนั่นเอง

ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกสนานและเปียกปอนทริปนึง การมาเที่ยวพร้อมๆกันกับทุกคนในครอบครัวนี่ มันสนุกสุดๆไปเลยเนอะ ... แล้วเจอกันใหม่ในทริปหน้าค๊าบ (คาดว่าอีกไม่นาน ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า) บ๊ายบาย ค๊าบ (-/\-)

Tuesday, April 8, 2008

หัวหินเป็นถิ่นสำราญ ตอนแรก

หลังจากที่เพียรพยายามหาโรงแรมที่พัก ที่หัวหินกันอย่างบ้าคลั่งเกือบอาทิตย์ criteria ของเราก็คือ มีที่พักสำหรับเจ็ดชีวิต อยู่ติดทะเล และ มีสระว่ายน้ำ เพื่อให้ หลานร๊าก ลงไปเล่นน้ำได้ เนื่องจากลงทุนกะอุปกรณ์ดีเด่นไปแล้ว ในที่สุดเราก็สามารถหาที่พักได้ เกือบครบ criteria เสียอย่างเดียวก็คือ ที่พักที่เราได้ ไม่ติดทะเล ไปเห็นของจริงแล้ว ก็ไม่น่าเกลียด ก็โอเคอยู่

หลังจากที่ติดต่อหาที่พักได้แล้ว วันเสาร์ที่ 5 เมษายน ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง ทุกคน กระตือรือร้นกันมาก พยายามสุดฤทธิ์ ที่จะไม่ทำตัวให้เป็นจุดอ่อน โดนกำจัด ... คาดว่า ไม่เกิน เก้าโมงครึ่ง เราก็ได้เริ่มออกเดินทางจากบ้านสายสี่ โดยมีบีเป็นพลขับ ออกไปยังไม่พ้นประตูบ้านก็มีเหตุให้ถอยรถกลับเข้าไปใหม่ เพื่อไปที่เปิดไวน์ หลังจากที่ได้ที่เปิดไวน์แล้ว พลขับบี ก็ทำแว่นกันแดดหายในบ้าน โดยไม่รู้ว่า หายที่ไหน กว่าจะรู้ตัว ก็ขับรถถึงไฟแดงสายสี่แล้ว เราก็ต้องวนรถ กลับบ้านใหม่อีกรอบนึง พอวนรถถึงบ้าน น้องธีร์ ถึงกะโวยวาย ... ไม่เอา ไม่เอา ธีร์จะไปเที่ยว ไม่กลับบ้าน ... หลังจากหาสมบัติของพลขับ บี เจอแล้ว ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปหัวหินอย่างจริงจัง

สถานีแรกที่เราตั้งใจจะหยุดก็คือ ปั๊มน้ำมัน ... พลขับ บี ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะหยุดที่ปั๊ม Jet ปั๊มอื่น เราไม่สนใจ ผ่านไปปั๊ม Jet แรก ที่ถนน ธนบุรี-ปากท่อ โอ้ แม่เจ้า ผู้คนล้นหลาม ไหลทะลัก อย่างกับว่า Jet แจกน้ำมันฟรี คนเติมน้ำมันเพียบ คนซื้อของเพียบ เอาวะ ไม่เติมก็ได้ มุ่งหน้ากันต่อไป จะเข้าเพชรบุรีแล้ว Jet ต่อไปก็ยังไม่มาให้เห็น ใกล้ถึงเพชรบุรี น้องธีร์สุดหล่อ ก็บอกกับทุกคนว่า "ธีร์ปวดอึ๊" โอ๊ะ โอ เอาล่ะสิ เราต้องเปลี่ยนเป้าหมายจาก ปั๊ม Jet เป็นสุขาน้อยให้สมธีร์ ดังนั้น สถานีแรกที่เราหยุดกันจริงๆ ก็คือ Big C เพชรบุรีนั่นเอง แวะเข้าไปเพื่อให้สมธีร์ทำธุระ แต่จริงๆแล้วสมธีร์ อาจจะไม่ปวดอย่างที่พูด ธุระครั้งนี้เลยไม่สำเร็จ ชาวคณะก็เลย เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าต่อไป และแล้ว เราก็มาเจอ ปั๊ม Jet อีกจนได้ คราวนี้ ได้เติมน้ำมัน สมใจ และ พี่ตี๋ คุณพ่อของน้องธีร์ ก็ตามมาสมทบได้พอดีที่ปั๊ม Jet แห่งนี้

หลังจากเติมน้ำมัน เติมน้ำจากบ้านไร่กาแฟไปแล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อไป สถานีต่อไปของเราคือ สะพานปลา ที่ชะอำ เพื่อไปหม่ำอาหารทะเลมื้อเที่ยง (ปล. จำชื่อร้านไม่ได้อ่ะ แถม ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ด้วย อาจจะเกิดจากความหิวเลยไม่ทันมีความคิดว่า จะถ่ายรูป) มื้อเที่ยงวันนั้น อุดมสมบูรณ์ ไปด้วย กุ้ง หอย ปู และ ปลา อิ่มอร่อยกันอย่างไม่เกรงใจ สัตว์ทะเลทั้งหลายแล้ว คราวนี้ มุ่งหน้าอย่างจริงจัง เพื่อไปหัวหิน check in เข้าที่พัก

ประมาณ บ่ายสองโมง เราก็มาถึงหัวหิน เช็คอินเข้าที่พัก ที่โรงแรม Huahinwhitesand เป็นโรงแรมเล็กๆอยู่เยื้องๆกะโรงแรมโซฟิเทล พอเก็บข้าวเก็บของเสร็จ ก็ไม่รอช้า รีบเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ และ พาธีร์ ไปเล่นน้ำในสระของโรงแรม อย่างด่วน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตอนลงไปเล่น ตอนนั้น มีคนเล่นอยู่ประมาณ สอง ถึง สามคน บีเล่นกะธีร์ก่อน จากนั้น เจ้รี่ และพี่ตี๋ก็ตามมา ป๊ากะม๊า เห็น ไม่ยอมน้อยหน้า เปลี่ยนชุดว่ายน้ำ ตามลงมาเล่นเหมือนกัน พอเราลงมาครบ คนอื่นๆ ก็สละสระว่ายน้ำให้กะเรา กลายเป็นสระว่ายน้ำ ของครอบครัวเราไป ดูรูปกันเลยดีกว่า

หลังจากเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเสร็จแล้ว บีก็ตั้งใจว่าจะพาธีร์เดินไปทะเลสักหน่อย เลยเดินลัดเลาะ ทำเนียน เข้าไปในโรงแรมโซฟิเทล เพื่อจะไปหาดหน้าโรงแรม เดินเล่นกันสักพัก สมาชิกคนอื่นๆ ก็เดินตามมาเจอที่โรงแรมโซฟิเทล เราแวะเล่นกันที่สนามเด็กเล่นของโรงแรมก่อน ย้อนวัยกันเล็กน้อย แต่พองาม คนที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นมารแม่ และ นะบีของสมเธร์ ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่มีใครยอมใคร ไม้กระดกของเรามันเลยไม่กระดก ต้องมีตัวช่วยอย่างที่เห็นพอเล่นกันได้ที่เราก็มุ่งหน้าไปสู่ทะเล พอเท้าสัมผัส ทราย เราก็สามารถบอกได้ว่า โอ้ นี่หรือ ทราย ไฮโซ ช่างนุ่มเท้าดีแท้ :P กิจกรรม ริมชายหาดของเราก็คือ เรียกม้ามาให้ธีร์ ขี่ แล้ว โพสต์ท่าถ่ายรูปงามๆ ธีร์ชอบมาก ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด นั่งเฉยๆ ยอมนั่งนิ่งๆให้ถ่ายรูปกะม้าแต่โดยดี สามารถไปดูรูปธีร์ขี่ม้าได้ที่บล็อคมารแม่ รูปธีร์ขี่ม้าเราขอข้าม เอาของเล่นที่เค้าขายริมทะเลมาอวดแทนละกัน
หลังจากที่ถ่ายรูปกะม้าเสร็จ เราก็เดินลัดเลาะกันมาตามชายหาด เพื่อออกเดินทางตามล่า หาอาหารเย็น เดินกันแบบว่า ไม่รู้จะกินอะไรดี ผ่านร้านข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ กะว่า จะเข้าไปซื้อสักสองกล่อง ปรากฎว่า ไปถึง ป้าเค้าขายข้าวเหนียวหมดละ เหลือแต่มะม่วง อดกินเลย ... เซ็งหมูหมัก (อุ๊บส์!!!)
แถวร้านขายมะม่วงมีร้านขายกาแฟหน้าตาดีด้วยนะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นร้านอาหารร้านนึง ชื่อ ร้าน ชาวเล มั้งถ้าจำไม่ผิด เราก็เลี้ยวปร๊าด เข้าไปหม่ำอาหารเย็นกันที่นั่น ธีร์ได้ลองหม่ำเบียร์ไฮเนเก้นด้วยนะ นี่คือหน้าตาตอนชิมเบียร์และหลังชิม
พอหม่ำเสร็จ สถานีในดวงใจ สถานีต่อไป คือ ตลาดหัวหิน ยามค่ำคืน
ร้านไอติมยังคงขายดีอยู่ ร้านโรตี คนยังเยอะเหมือนเดิม ยังคงต้องต่อแถวซื้อ ร้านบัวลอย จำได้ว่าเคยมี แต่เดี๋ยวนี้เดินหา หาไม่เจอแล้ว เศร้าเจรงๆ ร้านขายขนมไข่เต่าลูกเล็กๆ ราคาลูกละ ห้าสิบสตางค์ ร้านข้าวโพดปิ้งสี่พี่น้อง ที่คนขาย เหมือนไม่อยากจะขาย ถามคำ ตอบเหมือนโกรธกัน ชิ

สรุปออกจากตลาดได้ของกินติดไม้ติดมือมาเป็น โรตี ขนมไข่เต่า ข้าวโพดปิ้ง และ มะม่วงน้ำปลาหวาน ส่วนไอติมนั้นหมดตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากตลาด

และแล้ว คนอัพบล็อคก็ขอจบรายการของวันนี้แต่เพียงเท่านี้ก่อนละกัน ชักขี้เกียจ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเล่าตอนต่อไปของหัวหินเป็นถิ่นสำราญให้ฟังต่อ ปิดท้ายวันนี้ ด้วยหนุ่ม หน้ามน แฟนสตาร์บัค รุ่นจิ๋ว