Tuesday, July 22, 2008

หลวงพระบาง

จริงๆ กะจะเขียนเรื่องหลวงพระบางตั้งแต่เมื่อครั้งเพิ่งเดินทางกลับจากหลวงพระบางใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้เขียน จนมาถึงวันนี้ ก็ได้ฤกษ์งามยามดี ฝนตกปรอยๆ ได้บรรยากาศ ก็เลยมาเขียนถึงสักหน่อย

ก่อนหน้านี้ บีมีความรู้สึกอยากไปเมืองมรดกโลกหลวงพระบางมาตั้งนานแล้วแต่ไม่โอกาส เนื่องจากไม่มีเวลาบ้าง ไม่มีเงินบ้าง ไม่มีคนไปด้วยบ้าง จนในที่สุดโอกาสอันดีก็มาถึง แถมไปคราวนี้มีสปอนเซอร์เสียด้วย หุ หุ หุ เหตุเกิดเนื่องมาจากโฆษณาโปรแกรมทัวร์สวัสดีหลวงพระบางของบริษัทหนึ่งที่ส่งมาพร้อมกับใบเรียกเ็ก็บเงินของบัตรเซ็นทรัล หลังจากที่ชี้ชวนให้หม่าม๊าดูแล้วหม่าม๊ารู้สึกสนใจเลยโทรศัพท์ไปถาม ตอนแรกเค้าบอกมาว่า เด็กอย่างน้องธีร์ไปฟรี พวกเราก็เลยกระดี้กระด้า ดีใจ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เด็กอย่างน้องธีร์ก็ต้องเสียเงิน มิได้ไปฟรีแต่อย่างใด บีก็เลยไปเสาะหาทัวร์ที่อื่นเพื่อดูราคาว่ามีที่ไหนบ้าง อยู่มาวันหนึ่งด้วยความบังเอิญ เห็นหนังสือ anywhere ของคิม ตั้งอยู่บนโต๊ะ เปิดไปเปิดมา ได้เบอร์ติดต่อของบริษัท Bangkok Airways จึงโทรศัพท์เข้าไปสอบถาม ทางบางกอกแอร์เวยส์ ก็โอนสายไปที่บริษัท ฟ้าไทย ซึ่งเหมือนจะเป็นบริษัททัวร์ที่เป็นบริษัทลูกของบางกอก แอร์เวยส์ ทางฟ้าไทยก็ได้ส่งรายละเอียดและราคามาซึ่งราคาก็จะแปรผันตามจำนวนคน 2 คนก็จะราคานึง 3-5 คนก็จะราคานึง 6คนขึ้นไปก็จะราคานึง หลังจากตรวจสอบราคาและคำนวนดูแล้วก็เห็นว่าถูกกว่าบริษัททัวร์แรกที่เราโทรไปถาม และที่สำคัญ เราสามารถระบุได้ว่า จะไปวันไหน จึงตัดสินใจว่า ไปอันนี้ละกัน ตอนแรก หม่าม๊ายังรู้สึกหวั่นใจว่า ถ้าเราไปกันคณะเล็กๆ เค้าจะเอารถคันเล็กๆ เรือคันเล็กๆมารับเราหรือเปล่า จะปลอดภัยหรือเปล่า ก็ได้มีการสอบถามไปที่บริษัททัวร์ เค้าก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันมาว่า ปลอดภัย ชัวร์ รับประกัน ด้วยความที่เห็นว่า เป็นของบางกอก แอร์เวยส์และเค้าก็น่าจะทำมานานแล้ว ก็โอเค ตกลงไป โดยคิดกันว่า ออกเดินทางวันพฤหัสที่ 10 กรกฎาคม และ กลับวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม ท่าจะดี คนไม่น่าจะเยอะมากและที่สำคัญไม่ใช่วันหยุดแต่อย่างใด

ก่อนจะถึงวันเดินทาง ครอบครัวน้องธีร์ก็ได้มีการเตรียมตัวไปทำ passport ส่วนบีนั้น ได้เตรียมตัวเนิ่นกว่านั้นแล้ว เตรียมตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ทำ passport ให้พร้อมไว้เสมอ เดี๋ยวนี้การทำ passport ค่อนข้างเร็ว ถึงเร็วมาก บีไปทำแถวปิ่นเกล้า ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีก็เสร็จละ ตอนวัดส่วนสูง เจ้าหน้าที่ ทำส่วนสูงบีหายไป 3-4 เซ็นติเมตรเลยทีเดียว เมื่อเทียบกะ passport เก่า ทำให้สงสัยอยู่ในใจว่า นี่ชั้นเตี้ยลงเหรอเนี่ย สำหรับค่าดำเนินการในการทำ passport นั้น เดี๋ยวนี้ ราคา 1,000 บาท ถ้าจะให้ส่ง passport ไปที่บ้าน เพิ่มอีก 35 บาทแต่ขอแนะนำให้เตรียมเงินไว้ให้พอดี เพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ เค้ายังดุ เหมือนเดิม ยกตัวอย่างดังนี้
เจ้าหน้าที่: ค่าจัดส่ง 35 บาท
บี: ยื่นแบงค์ ร้อย ไป
เจ้าหน้าที่: ไม่มีทอน
บี: ไม่มีเศษเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่: ไม่รู้ ไปหาแลกมาละกัน
บี: แลกที่ไหนล่ะ
เจ้าหน้าที่: ไม่รู้ ไปหาแลกมา แง่ง ... (เจ้าหน้าที่ใช้หางเสียงที่ทำให้บีเกิดอุปาทานออกอาการหูแว่ว ได้ยินคำว่า "แง่ง" ตามมา)
ด้วยบริการที่ดียิ่งของเจ้าหน้าที่ บีก็วิ่งหาที่แลกเงิน โชคดีที่ด้านบนมีธนาคาร บีก็เดินเข้าไปในธนาคารแล้วบอกว่า ขอแลกเงินค่ะ เจ้าหน้าที่ข้างล่างเค้าไม่ทอน พนักงานธนาคารฟังแล้วก็ยิ้มๆ ทำให้เข้าใจได้ว่า อาจจะมีคนโดนอย่างนี้หลายคนแล้ว พนักงานธนาคารก็เลยแสดงความเข้าอกเข้าใจและแลกเงินให้อย่างดี พอแลกเสร็จก็เอาเงินไปชำระให้เสร็จสิ้น คือจริงๆ ถ้าเตรียมเงินพร้อมๆไป น่าจะดำเนินการทุกอย่างเสร็จภายใน 15 นาที

และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ครอบครัวน้องธีร์รีบมาที่บ้านสายสี่กันแต่เช้า เนื่องจากกลัวว่า จะกลายเป็นจุดอ่อนให้โดนกำจัดกันตั้งแต่ยังไม่ไป ดังนั้น วันที่ออกเดินทางคนที่ช้าที่สุดก็คือ บี โชคยังดีที่ไม่ได้ช้ามากจนกลายเป็นจุดอ่อน ... อิ อิ อิ

ไปถึงสนามบิน ก็คิดกันว่า ควรจะหาอะไรใส่ท้องไว้ก่อน เผื่ออาหารบนเครื่องบินใบพัดไม่ถูกปาก เราจะได้ไม่อดตาย คิดแล้วก็เลือกเอาเบอร์เกอร์คิงส์เป็นแหล่งเสบียง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รู้แต่ว่า เบอร์เกอร์คิงส์มีอยู่ฝั่งเดียว และฝั่งที่มันอยู่ ดันเป็นฝั่งตรงข้ามกะที่เราจะขึ้นเครื่อง แต่ด้วยความขยันขันแข็ง ก็เดินไปกัน เดินไปกิน กินเสร็จ เดินกลับไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็เห็นว่า ทางที่เราจะไปขึ้นเครื่องนั้นก็มีเบอร์เกอร์คิงส์ ธ่อ อุตส่าห์เดินไปตั้งไกล จากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่า เดี๋ยวนี้ เบอร์เกอร์คิงส์นั้น มีทั้งสองฝั่งแล้วนะเออ เป็นเพราะว่า เราใช้เวลาเดินกันเยอะไปหน่อย ทำให้เวลาที่เหลือในการช็อปปิ้งนั้น เหลือน้อยเต็มที เราไปถึงที่ ประตูกันตรงเวลามาก ตรงซะจนคิดว่า จะไปถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายซะแล้ว แหะ แหะ แหะ ไปถึงก็ไปเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อน ก่อนจะเดินไปยื่นตั๋วโดยสารให้พนักงานดู จากนั้นก็ลงบันไดเลื่อน เพื่อไปยืนคอยบนรถ คอยและคอย และคอย คอยคนสองคนที่คงจะช็อปปิ้งจนเพลิน เพลินเสียจนทำให้คนอื่นๆที่เหลือต้องรอซะนาน รอจนในที่สุด รถก็ยอมวิ่งไปที่เครื่องบินให้เราขึ้นเสียที เครื่องบินที่เราจะขึ้นนั้น เป็นเครื่องบินใบพัด ลำไม่ใหญ่มาก เล็กกะทัดรัด เหมาะกะสนามบินหลวงพระบางนัก เพราะว่า สนามบินหลวงพระบางนั้นไม่ใหญ่ ถ้าเอาลำใหญ่ๆไปคงลำบาก

น้องธีร์นั้นพอได้ขึ้นเครื่อง นั่งเล่นอยู่สักพักก็หลับไป ไปตื่นเอาอีกทีโดยการปลุกตอนเครื่องบินจอดแล้ว ตอนอยู่บนเครื่องก็มีการกรอกเอกสารขาเข้าเมืองหลวงพระบาง พยายามอ่านภาษาลาว บางคำก็อ่านออก บางคำก็อ่านไม่ออก ต้องอาศัยภาษาอังกฤษ sub title ด้านล่าง ถึงจะพอกรอกได้ นี่คือบรรยากาศเมืองหลวงพระบางที่ได้เห็นจากบนเครื่องบินพอถึงสนามบินหลวงพระบาง เราก็เดินลงจากเครื่องบินเพื่อเข้าไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเล็กๆน่ารักของหลวงพระบาง ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่และไปยืนรอกระเป๋า ซึ่งสนามบิน เห็นมีสายพานอยู่อันเดียว ระหว่างรอ น้องธีร์ก็กินฟรายเหี่ยวๆของเบอร์เกอร์คิงส์ ซึ่งตอนแรก บีกะจะทิ้งแล้ว นึกว่าคงไม่มีใครกิน ที่ไหนได้ สมธีร์ ยังคงกินได้อย่างเอร็ดอร่อย รอไม่นานนัก เราก็ได้กระเป๋ากันครบ เดินออกไปก็มีคนมารอรับ ยืนชูป้ายชื่อ ป๊า หรา ให้เรามั่นใจว่ามีคนมารอรับเรา การเดินทางครั้งนี้ เป็นคณะทัวร์เล็ก ผู้ใหญ่ 5 เด็ก 1เป็นคณะทัวร์แบบกันเองมากๆ พร้อมจะออกเดินทางเมื่อไหร่ก็ทำได้ตามที่ชาวคณะเราจะพร้อม จะกินข้าวกินโมงก็เลือกได้ รู้สึกดีและสะดวกสบายเป็นอย่างมาก

ระยะเวลาที่อยู่ในหลวงพระบางสามวันนั้น จะว่าไป ก็ไม่ได้สัมผัสกะชาวหลวงพระบางอย่างเต็มที่ เลยไม่สามารถบอกได้ว่า ชาวหลวงพระบางนั้นน่ารักเหมือนที่เขียนพร่ำพรรณนาไว้ในหนังสือหลายเล่มหรือเปล่า รู้แต่ว่า เมืองหลวงพระบางเป็นเืมืองเล็กๆ ไม่วุ่นวาย ไม่พลุกพล่าน บรรยากาศโดยรวม ถูก freeze ให้คงบรรยากาศไว้เช่นนั้นด้วยความที่เป็นมรดก อาหารที่หลวงพระบางก็รสชาติไม่เลวนัก ภาษาลาวเป็นภาษาที่น่ารักและมีเสน่ห์อยู่ในตัวเมื่อดูในความหมายของคำไทย ยกตัวอย่างเช่น

ไฟจราจร ไฟแดง ภาษาลาว จะเรียกว่า ไฟอำนาจ (เห็นมะ มันก็เป็นไฟที่มีอำนาจจริงๆ สามารถบอกให้รถหยุดได้) ไฟเหลือง ภาษาลาวจะเรียกว่า ไฟลังเล (อันนี้ก็จริง เพราะพอเป็นไฟเหลือง คนจะลังเลว่าจะเหยียบมิดๆ หรือว่าจะจอดดี) ส่วนไฟเขียวจะเรียกว่า ไฟอิสระ สี่แยกหนึ่งแถวตลาดมืด ชาวหลวงพระบางเรียกว่า สี่แยก วัดใจ เนื่องจากตรงนี้ไม่มีไฟจราจร ก็ต้องวัดใจกันว่า ใครจะหยุด หรือ ใครจะไป สระน้ำแห่งนึงที่เคยมีน้ำ ปัจจุบันน้ำแห้งไปแล้วและมีรูปพระแม่ธรณีอยู่ มีชื่อว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่า พอได้ยินชื่อ ชอบมาก เพราะความหมายประมาณว่า ให้ิจินตนาการเอาเองว่าตรงนี้เคยมีน้ำ

สรุปแล้วโดยรวมการไปหลวงพระบางครั้งนี้ก็สนุกสนานดี บรรยากาศก็ดี ดังจะเห็นได้จากรูปข้างล่าง
ข้างล่างนี้เป็นบรรยากาศภายในโรงแรม The Grand Luang Prabang ซึ่งในอดีตเคยเป็นวังเก่า ในวงเล็บ แค่ตึกๆเดียวที่เป็นวังเก่า ส่วนที่เป็นที่พักของโรงแรมนั้นคือส่วนที่สร้างขึ้นมาใหม่ส่วนรูปข้างล่างนี้เป็นบรรยากาศของตลาดมืดของชาวหลวงพระบางเอาล่ะ ในเมื่อมีสิ่งดีแล้ว สิ่งไม่ดีย่อมมี เป็นของคู่กันตามธรรมดาโลก ในความคิดเห็นส่วนตั้ว ส่วนตัว สิ่งที่ไม่ดีที่สุด และไม่ชอบถูกสุดของหลวงพระบางก็คือ มดเยอะมากไปหน่อย แถมไม่ได้มาเดินเล่นให้เห็นกันแค่ตัวสองตัว มากันทีเป็นฝูง เป็นเหตุให้เกิดอาการขนลุกได้ตลอดเวลา ... ทุกที่ ทุกแห่ง ทุกสถานที่ได้ไปเยี่ยมเยือน เป็นต้องเจอมด มด มด ... ง่ะ ... น่ากลัวชะมัด

Sunday, July 20, 2008

Gooood Old Friends

อ่านหัวเรื่องแล้ว อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ว่าเราหมายถึงเพื่อนแก่ๆ ทั้งหลาย ... ไม่ใช่แต่อย่างใด ... อิ อิ อิ

ก่อนหน้านี้เคยเขียนเรื่องเพื่อนมาครั้งนึงและบอกไว้ว่า ถ้ามีโอกาสจะเอาโฉมหน้าเพื่อนๆแบบอัพเดทมาให้ยลกัน ในที่สุด โอกาสดีก็มาถึง เพราะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสรวมตัวกันแบบพร้อมหน้า หายไปหนึ่งหน่วย เนื่องจากไม่ใจ ไม่ยอมบินกลับมาจากอเมริกา เพื่อมาถ่ายรูปฉลองวันรับปริญญาให้กะหน่องชัช แต่ไม่เป็นไร เพื่อนๆให้อภัย เห็นแก่หนูน้อยนามิ ที่ชาญฉลาด ไม่ยอมมีหน้าตาเหมือนแม่ :P ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... (เบบี้ แกไม่ได้อ่านบล็อคชั้นใช่มั้ย?)

ว่าแล้ว ดูรูป อัพเดทกันแบบสุดๆเลยดีกว่า ดูเสร็จแล้วค่อย เลื่อนลงไปดูบล็อคเก่าข้างล่าง ว่าแต่ละตัว เอ้ย แต่ละคนมีวิวัฒนาการกันไปในทางด้านใดและแค่ไหน เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา มันมีผลกับพวกเราเพียงใด
หุ หุ หุ จบการอัพบล็อคแบบย่อแต่เพียงเท่านี้ คนเขียนขี้เกียจเหลือเกิน

ปล.แรก Congratulation นะหน่องชัช
ปล.สอง สำหรับผู้ที่สนใจอยากเห็นพวกเราเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่เลย
ปล.สุดท้าย ข้อความข้างบน อ่านดูแล้วเหมือนประโยคโฆษณา ยังไงไม่รู้เนอะ

Tuesday, July 8, 2008

สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจ

ก่อนหน้านี้ บีมีความคิดว่า การบริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ และ การบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ นั้น เป็นสิ่งที่ยุ่งยากมากมาย ต้องใช้แรงกาย แรงใจอย่างมากในการกระทำ ไม่รู้ว่า เมื่อก่อนนี้กลัวอะไรกับการบริจาคทั้งสามอย่างนี้ รู้แต่ว่า มีความกลัวลึกๆในจิตใจ เลยได้แต่อยากบริจาค แต่ไม่กล้าบริจาค อยากๆ กลัวๆ อยู่สักพัก จนในที่สุดก็ตัดสินใจ เอาเถอะ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะมากลัวอะไร ถ้าสิ่งที่เราเอาไปไม่ได้ ไม่ได้ใช้แล้ว แต่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ก็ให้เค้าไปใช้เถอะ พอตัดสินใจได้ และได้ บริจาคจริงๆ ก็รู้ได้ว่า การบริจาคทั้งสามอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก แค่ อาศัยความตั้งใจและสละเวลาเล็กน้อยในการทำ ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ขออนุญาตเอาประสบการณ์และข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง

อย่างแรก การบริจาคดวงตา จำได้ว่านี่เป็นสิ่งแรกที่ไปบริจาค จำได้ว่า วันนั้นเมื่อหลายปีที่แล้ว หลังจากบริจาคเลือดเสร็จแล้ว ก็มีความคิดว่า ไหนๆก็มาสภากาชาดไทยแล้ว บริจาคดวงตาด้วยเลยดีกว่า ไหนๆก็ไหนแล้ว ก็เลยถามพี่ รปภ. ของสภากาชาดไทยว่า จะไปบริจาคดวงตานี่ต้องไปที่ไหน พี่เค้าก็บอกทางไป ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฒโน)ชั้น 7 พอไปถึง การบริจาคก็ไม่ยาก แค่ไปกรอกเอกสารยินยอม และ รอรับบัตรประจำตัวผู้บริจาคดวงตากลับมา แค่นี้เอง สำหรับผู้ที่สนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดูได้จากเว็บนี้ http://www.eyebankthai.com/

อย่างที่สอง การบริจาคอวัยวะ อันนี้ก็สามารถทำได้ที่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยเช่นกัน เป็นตึกเดียวกับที่บริจาคดวงตาแต่คนละชั้น ถ้ามีเวลา สามารถ บริจาคสองอย่างนี้ ได้ ภายในวันเดียว การบริจาคอวัยวะนี้ ก็เช่นกัน แค่ไปกรอกเอกสารยินยอม และ รอรับบัตร สำหรับผู้สนใจ สามารถ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บนี้ http://www.organdonate.in.th/

สำหรับการบริจาคอย่างที่สาม คือการบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ อันนี้เป็นประสบการณ์ล่าสุดเพราะเพิ่งไปทำมาเมื่อวาน ก่อนหน้านี้ บีคิดว่า เป็นอะไรที่ยุ่งยากมากทีเดียว เพราะเคยรู้มาว่า ต้องไปที่โรงพยาบาลศิริราชเท่านั้น แค่คิดว่าจะไปศิริราชก็ลำบากแล้ว เพราะศิริราชในความคิดนั้น เป็นอะไรที่ไปไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง ที่จอดรถก็แสนจะหายาก แต่เมื่อเร็วนี้ๆ ได้หาข้อมูลใหม่ ว่า จริงๆแล้ว การบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่นั้น เราสามารถทำได้หลายแห่ง นอกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้ว โรงพยาบาลรามาฯ โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลอื่นๆที่มีนักศึกษาแพทย์ก็สามารถทำได้เช่นกัน หลังจากหาข้อมูลได้พอสมควร ก็ตัดสินใจว่าจะไปบริจาคที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เนื่องมาจากว่า ต้องไปทำธุระแถวนั้นอยู่แล้ว พอได้ฤกษ์งาม ยามสะดวก หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจแวะเข้าไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากวนๆ รถอยู่หลายรอบ หาที่จอดรถไม่ได้สักที เพราะที่โรงพยาบาลจุฬาใช่ว่า รถจะน้อย คนจะน้อยซะเมื่อไหร่ และก็ไม่รู้ว่า ตึกที่รับบริจาคอยู่ตรงไหนด้วย ก็เลยตัดสินใจโทรไปสอบถาม ได้ความมาว่า ตึกที่รับบริจาคชื่อ ศาลาทินฑัต เป็นเรือนกระจกเล็กๆอยู่ข้างๆตึก ภปร. เลยขับรถวนเข้าไปแถวตึกที่รับบริจาคและแจ้งพี่รปภ.ว่า จะมาบริจาคค่ะ พี่รปภ. ก็ใจดี รีบอำนวยความสะดวก หาที่จอดรถให้ พอจอดรถได้ ก็เข้าไปบริจาค ขั้นตอนการบริจาคก็ไม่ยุ่งยาก แต่ต้องเตรียมรูปถ่ายขนาด หนึ่งนิ้ว ไปสองรูป และ สำเนาบัตรประชาชน กรอกเอกสารนิดหน่อย เพื่อแสดงความจำนง แล้วก็รอรับบัตร เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

ปล. ในกรณีที่ไม่สะดวกเดินทางไปเอง แต่อยากบริจาคดูรายละเอียดได้จากข้อมูลข้างล่าง

ผู้สนใจสามารถติดต่อที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาฯ หมายเลขโทรศัพท์ 02-256-4628 ในเวลาราชการ หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มการบริจาคร่างกายจาก http://www.md.chula.ac.th/anatomy/donatebody.html แล้วกรอกข้อความส่งมาที่แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย เขตปทุมวัน กทม.10330 ได้ทุกวัน

ลืมบอกไปว่า การบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่นั้น เค้ารับในกรณีที่อวัยวะภายในยังอยู่ครบ บางคนก็จะมีความสงสัยว่า อ้าว อย่างงี้ ถ้าเราบริจาคอวัยวะไปแล้ว และจะบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ได้เหรอ อันนี้เท่าที่รู้มา เค้าบอกว่า ได้ เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ณ วันที่เราสิ้นอายุขัย วันนั้น อวัยวะของเรา อาจจะไม่สามารถเอาไปให้คนอื่นใช้ได้ ก็เป็นได้ ดังนั้น ณ ตอนนี้ เราสามารถดำเนินการแสดงเจตจำนงค์บริจาคทุกอย่าง แล้ว พอเราไม่มีชีวิตแล้ว ค่อยให้ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ของเราเป็นผู้ตัดสินใจ :-D

- สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย : สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น -