Saturday, March 24, 2007

อาหาร การกิน

วันนี้วันเสาร์ อากาศเริ่มกลับมาหนาวอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานร้อนสุดๆ เห็นพยาเกิน เอ้ย พยากรณ์เค้าบอกว่า 33 องศา วันนี้น่าจะประมาณ 21 ลมกรรโชกแรง มีฝนตกปรอยๆ ตั้งแต่เช้า สลับกับแดดออก เป็นระยะๆ อยู่บ้าน เปิดหน้าต่างเอายังหนาว (ดีใจ วันหยุดที่อยู่บ้านอากาศเย็น ประหยัดแอร์) ผ่านเรื่องดินฟ้าอากาศ เข้าสู่เรื่องอาหารการกิน ตามที่จั่วหัวไว้บ้างดีกว่า

ตั้งแต่มาอยู่ที่เมลเบิร์น ถามว่ากินไรบ้าง ... อืม ... อืม ... อืม ... นึก นึก นึก ... อิ อิ อิ ... จริงๆแล้ว ตอบไม่ยาก ... ไม่จีน ก็ ญี่ปุ่น ... กลางวัน จีน เย็น ญี่ปุ่น หรือไม่ก็ล่อ อาหารจีนกลางวัน เย็น อาหารฝรั่ง นับครั้งได้ อาหารทำเอง ... นับได้เป็นครั้งอีกเช่นด้วยกัน ตอนแรกคิดว่า อยากจะประหยัด ทำอาหารกินเองประหยัดกว่า แต่ความขี้เกียจมาเหนือความอยากประหยัด ... ธ่อ ก็ทำกินเอง ไหนจะต้องเตรียมของ ทำเสร็จก็ต้องมาล้างจาน ล้างจาน ไม่เท่าไหร่ ล้างเตา ล้างครัว ล้างหม้อ ... แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ซื้อเค้ากินดีกว่า ไม่เหนื่อยดี

อาหารที่ทำกินเอง ส่วนมากจะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ ที่ขี้เกียจออกไปไหน ขลุกอยู่กะบ้าน ดูดฝุ่น ซักผ้า รีดผ้า ไปตามเรื่อง ถามว่าทำไรกิน ... อิ อิ อิ ... ซุปมั่วใส่ คะนอร์ลงปาย ใส่ผัก ใส่หมูสับ ใส่ผัก ใส่สาหร่าย เหยาะด้วยซอสสุกี้ เป็นเมนูเด็ดที่ช่วงนี้ฮิตมาก ทำกินสองอาทิตย์ซ้อน จนสาหร่ายหมดห่อ ทำให้ต้องเลิกกินไป เมนูเด็ดอีกอย่างคือ สปาเกตตี้ ครึ่งบกครึ่งน้ำ ใส่ หมูสับ กุ้ง เห็ด บวก ซอส sundried tomato and italian basil เชียวน๊า อันนี้ ก็เป็นเมนู ฮิตอีกหนึ่งรายการที่ต้องมี เห็ด หมู ซอส และเส้น penne ติดบ้านเอาไว้ กันอด

มาดูในตู้เย็นกันบ้างดีกว่า ว่ามีไรบ้าง ... เดินไปดู ... อิ อิ อิ ... นมสตรอเบอรี่ นมจืด ป๊อกกี้หนึ่งกล่อง น้ำแอปเปิ้ล น้ำเปล่า ลูกชิ้นปลา หมูสับ ถั่วงอก เห็ด ไข่ สไปรท์ zero ช่างเป็นตู้เย็น ที่โหลงๆ ไม่เหมาะกะการเสียบปลั๊กเพื่อให้มันกินไฟเล่นๆเสียเลย

เมื่อวันศุกร์ไปรับประทานอาหารอิตาเลี่ยน ที่ร้าน sofie มา อยู่ที่ camberwell ต้องนั่งรถไฟออกไปประมาณ 15 นาที ร้านอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟมากนัก ที่เห็นคนเค้าสั่งมากินกันเยอะๆ เห็นจะเป็นไอติม Gelato แบบนี้

อิ อิ อิ มันละลายแล้วอ่ะ เลยหน้าตาเป็นแบบนี้ ... กินให้อ้วน ก็ยังกินไม่หมดถ้วย เพราะก่อนหน้านั้น มีสปาเกตตี้ สเต็กเนื้อ และ สลัดปลาหมึกทอด จานเท่ายักษ์มารองท้องแล้ว

ปล. อันนี้ กะจะอัพตั้งแต่วันเสาร์แต่ยังไม่มีโอกาส ... วันนี้วันอังคารแล้ว เลยมีโอกาสได้เล่าต่อว่า

วันนี้ เนื่องจากต้องทำการกำจัดอาหารสดที่มีอยู่ในห้องให้หมดก่อนที่จะกลับบ้าน พอเลิกงานก็เลยกลับมาทำอาหารกินเอง เมนูวันนี้ ถั่วงอกผัดไข่ และ หมูผัดซีอิ้ว ... เริ่มจากถั่วงอกผัดไข่ก่อน จานนี้ ง่าย ผ่านไปโดยสวัสดิภาพ จานที่สอง หมูผัดซีอิ้ว จานนี้ ฟังดูง่าย แต่ตอนผัด ควันขโมงโฉงเฉง smoke detector ในห้องก็ประสิทธิภาพดีมากมาย พอได้ควันเข้าไปหน่อย ก็ร้องทำเอาเจ้าของห้อง ต๊กกะใจ ต้องรีบไปหา switch ปิดแทบไม่ทัน เพราะได้เคยได้ยินมาว่า ถ้ารถหวอมา เค้าจะเก็บเงิน อย่างน้อยๆ $200 AUD เสียวแว๊บๆ ... โชคดี ที่มันดังไม่นานนัก เพราะเล่นปิด main switch มันเลยทีเดียว และหน้าต่างในห้องกี่บานที่เปิดได้ ก็รีบวิ่งไปเปิดอ้าซ่า ระบายลม

ปล. อีกหนึ่งครั้ง หมูผัดซีอิ้วเจ้าปัญหา นอกจากควันมันจะเยอะแล้ว มันยังเค็มปิดปี๋อีกตะหาก (T_T) แง๊ว .... กลับไปให้แม่ทำให้กินดีกว่า อย่างงี้

Tuesday, March 20, 2007

ประสบการ์ณ เฉียด ...

หลังจากผ่านชีวิตที่เศร้าสร้อยในช่วงเที่ยง ด้วยความยุ่งมาก ทำให้ต้อง bypass อาหารกลางวันไปโดยอัตโนมัติ หลังจากทำงานแก้ไขปัญหาผ่านพ้นไปได้ก็บ่ายโมง บ่ายโมงก็มีนัดประชุม จับปลาประจำอาทิตย์ ซึ่งการจับปลานี้ ค่อนข้างจะน่าเบื่อแต่โดดไม่ได้ ถ้าโดดอาจถูกตัดจิตพิสัย เลยต้องจำใจเข้าทุกอาทิตย์

เอาล่ะ หลังจากผ่านชีวิตอดมื้อไปแล้ว ตกเย็นวันนี้ ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามเคลียร์งานต่างๆให้เสร็จภายใน หกโมงครึ่ง และเมื่อถึง 6:30pm ก็มีวี่แววว่าจะสามารถ จรลีออกจากออฟฟิศได้ จึงเดินไปนัดแนะกะน้องว่า เฮ้ย !!! ไปยัง ... เสียงไอ้น้องตอบกลับมาว่า ได้พี่ เจอกันชั้น G เลยละกัน ... โอเค แยกย้ายกันไปเก็บของตามระเบียบรัตน์ เอ้ย ระเบียบพัก พอเก็บของเสร็จ ก็เดินถือกระเป๋า ออกมา กดลิฟต์ รอ ... รอ ... รอ

ปิ๊ง ... เสียงลิฟต์ ลิฟต์มาละ ... ก็เดินเข้าไป ... อ่ะ เห็นด้วยหางตาไวๆ ว่ามีคนวิ่งมา จะขอร่วมเดินทางไปด้วย ความที่เป็นคนดีก็เลยกดลิฟต์ปิด เอ้ย ไม่ใช่ ... กดรอ ... พร้อม ... สองชีวิต มีอีกมั้ย ... อ่ะ ไม่มี กดปิด ... ลิฟต์ เบอร์ 7 จำได้แม่น ก็ปิดประตูและเคลื่อนที่ลงไปอย่างช้าๆได้ครู่เดียว ครู่เดียวจริงๆ หลังจากนั้นก็กระตุก ... อืม คงไม่มีไร ... ยังไม่ทันสิ้นคิด ... ลิฟต์มันเกิดอาการร่วง ร่วง กระตุก หยุด ... (ใช้คำว่าร่วง เพราะมันร่วงจริงๆ) ... แล้วก็ ร่วง ร่วง กระตุก หยุด !!! เฮ้ย โดยไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องบอก ไม่ต้องนัด รีบกระโดดไปกดปุ่ม Emergency Stop ในทันใด ... กดรัว กดรัว ... อ่ะ มันหยุดแล้ว ... รอสักพัก ... อืม มันหยุดจริง ... หยุดไปเลย ... กดปุ่มใดๆ ไม่ติดอีกเลยทีนี้ ... แล้วไงอ่ะ ... มีปุ่มเดียวทีใช้การได้ ... ปุ่มกระดิ่ง ... กด กริ๊ง กริ๊ง ... กริ๊ง กริ๊ง ... กดแล้วไงอ่ะ กดแล้ว ก็ไม่มีไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่รับผิดชอบ กริ๊ง กริ๊ง ... เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม ... คนที่อยู่ในลิฟต์อีกคน ก็เหลือบไปเห็นว่า มีโทรศัพท์ ... ไหนลองโทรสิ ... ยกหูขึ้น ฟัง ... เงียบ ... เอ่อ ซวยแล้ว ... ด้วยความที่เค้าเป็นคนไม่ย่อท้อ เค้าเลยลองยกหูโทรอีกรอบ ... อาฮ่า ... คราวนี้มีคนรับ เป็น operator สาว ... รับเรื่องไว้ แล้วจะพยายามติดต่อ ช่างให้ คาดว่า อีก 20 นาที ถ้าโชคดี จะติด่อเจอช่าง ... เอิ่ม 20 นาที ... แล้วตรูจะทำไรล่ะเนี่ย ... ก็เลยนั่งรอ ... รอสักพัก คนอีกคนในลิฟต์ถามว่า เอ่อ เริ่มร้อนมั้ย ... เออ จริงด้วย เริ่มร้อน ช่างเหมือนในหนัง ... ติดในลิฟต์มันจะเริ่มร้อน ... นิยายชัดๆ

รอสักประมาณ 20 นาที ลิฟต์ก็เริ่มขยับตัว ... ด้วยความเร็ว ร่วง อีกครั้ง ร่วง ร่วง กระตุก ... เฮ้ย ... แล้วมันก็เคลื่อน พร้อมกับกระตุกอีกที พร้อมกะเห็นไฟขึ้นว่า ชั้น G กลั้นหายใจไปประมาณ 15 วินาที ประตูมันก็เริ่มเปิด แต่เปิดออกมา ลิฟต์อยู่ตำกว่า level G ประมาณนึง ถึงกับต้องปีนขึ้นมา ... เอาวะ ควรจะต้องรีบปีนก่อนจะไม่มีโอกาสได้ปีน ... คิดได้ดังนั้น ก็ รีบกระโดดดึ๊บ ออกมาจากลิฟต์ ... พอออกจากลิฟต์มาได้ หายใจลึกๆเข้าปอดหนึ่งเฮือก แล้วหันไปบอกผู้ร่วมชะตากรรมว่า "Have a good evening"

นี่ ... ถ้ามันร่วงเร็วกว่านี้และร่วงไปเลย นี่คงไม่สามารถ โทรไปร่ำลาใครได้ เนื่องจาก Optus ทรยศ ไม่มีสัญญาณ เงียบสนิท


เฮ้อ ... เกือบไปแล้วนะ บี ... เกือบไป


Monday, March 19, 2007

บี ณ ดินแดน ดาวน์ อันเดอร์ ตอน 3

ก่อนอื่นเลย ... ขอบ่นก่อน ... เหนื่อยมาก ... วันนี้เหนื่อยสุดๆ ... ทำงานตั้งแต่ เก้าโมงเช้า ถึง สามทุ่ม สิบสองชั่วโมงพอดีเด๊ะ เหนื่อยสุดๆ ยังไม่เสร็จ แต่ไม่ไหว ขอกลับมาพักก่อนดีกว่า ... คิดได้เช่นนั้น ก็เก็บกระเป๋า เก็บของกลับบ้าน ... มารอดู AF ธีร์ดีกว่า

เอาเป็นว่า วันนี้พาทัวร์ห้องกันดีกว่า ว่า หน้าตาเป็นเช่นไร

ปัจจุบันนี้ที่พักห่างจากออฟฟิศประมาณ สองบล็อคใช้เวลาเดินจากบ้านไป ออฟฟิศราวๆ ห้านาที ถ้าเดินเร็วหน่อย หรือไม่อย่างมาก เดินอ้อยสร้อยสุดๆก็สิบนาที เป็น Apartment ชื่อ Wills Tower เนื่องจากอยู่ถนน Wills St. ซึ่งประหนึ่งเป็นซอยเล็กๆ ระหว่าง Queen St. และ William St. บนถนน La Trobe ชั้น 21

เริ่มจาก พอเดินเข้าประตูมา ก็จะเห็นเป็นเช่นนี้

พอพ้นประตูผ่านหน้าครัวเล็กๆ มองมาทางซ้ายมือ ก็จะเห็นเป็นเช่นนี้

และนี่คือมุมทำงาน เป็นมุมประจำที่ต้องมาขลุกอยู่หลายชั่วโมง เพราะเป็นมุมที่มี คอมพิวเตอร์ตั้งไว้อยู่

พอนั่งลงไปที่โซฟาก็จะเห็นเช่นนี้ แหะ แหะ โต๊ะค่อนข้างรกไปหน่อย นี่ขนาดเก็บๆบ้างแล้วนะเนี่ย ส่วนโทรทัศน์ด้านหลังนั้นเปรียบเสมือนของประดับบ้าน เนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้ จำได้ว่า มาอยู่เกือบเดือนเพิ่งใช้บริการโทรทัศน์ไปสองครั้ง เนื่องจากรายการที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรดูสักเท่าไหร่ ดูจากคอมพิวเตอร์ยังจะเยอะเสียกว่า เลยไม่ค่อยได้ใช้บริการ


ส่วนห้องสุดท้ายที่จะโชว์คือห้องนอน ซึ่งเป็นที่ไว้นอนจริงๆ พอจะนอนถึงจะเดินเข้าไปในนั้น ... บอกแล้วว่า ชีวิตส่วนใหญ่ฝังรากไว้ที่โซฟา
โอ้ เกือบลืม โชว์วิวซะหน่อย มุมมองผ่านหน้าต่างจากในห้อง มันดูมืดๆ ไม่ค่อยชัดใช่มั้ยล่ะ อยากเห็นชัดๆ ขอเชิญมาดูเองด้วยตาเลยดีกว่า ชัดเจนดี อิ อิ อิ คือวิวที่เห็น จะเป็นมุมๆนึงของ Dockland และก็จะเห็นสะพานอะไรสักสะพาน


หมดแล้วอ่ะ ไปนอนก่อนดีกว่า เหนื่อยจัง ... (-/\-) ซาหวัดดีค๊าบ

Sunday, March 18, 2007

บี ณ ดินแดน ดาวน์ อันเดอร์ ตอนที่ 2

กลับมาแล้ว post ตอนที่ 2 อย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่ถึง นาที ... อิ อิ อิ ... ก็คนมันว่างง่ะ ...

อย่างที่บอกไปแล้วว่า ตอนที่สอง เราจะนำเสนอ The great ocean road ชื่อ ก็บอกแล้วเนอะ ว่า เป็นถนน ... ถนนเส้นนี้ เลียบทะเล ขึ้นเขา ลงห้วย เป็นระยะทาง ไกลอยู่ หลายร้อยโล จำไม่ได้ว่ากี่ร้อยโล อย่าถามตัวเลข จำไม่ได้และไม่ได้จำ ... อิ อิ อิ ...

วันที่ 12 มีนาคม 2007 วันจันทร์ เป็นหยุดที่เมลเบิร์น ถ้าจำไม่ผิดคิดว่า หยุด วันแรงงาน (ได้ยินมาว่า วันแรงงานของออสเตรเลียมันไม่ใช่วันเดียวกันทั่วประเทศ น้องที่อยู่ที่แคนเบอร่า คนนึงบอกไว้ แปลกดี แปลกดี เนอะ) กลุ่มคนไทยที่มาขายแรงงาน ณ เมลเบิร์น จำนวนสี่ชีวิต ก็เลยได้จัดประชุมและตกลง ตัดสินใจว่า เราจะไปเช่ารถขับไปเที่ยวกันที่ great ocean road ได้ยินข่าวเล่าลือมานานมากว่ามันสวยนักสวยหนา ต้องไปทัศนาให้ได้ครั้งนึงในชีวิต เราก็นัดกันเลย เช่ารถหนึ่งคันจาก avis รถที่เราได้เป็นรถสีขาว ยี่ห้อ Hyndai ใหม่กิ๊ก นี่ไง หน้าตาน้องขาวของเรา




วันที่เราออกเดินทางคือวันที่ 11 มีนาคม ล้อหมุนจาก Elizabeth St. หน้า Sommerset Apartment เวลา หกโมงเช้า เลี้ยวซ้ายเข้า Londales st เลี้ยวซ้ายอีกที ออกที่ Kings St. มุ่งหน้าไปตาม West Gate High Way ยึดตาม M1 ไปเรื่อย ผ่าน Werribee เมืองนี้มีไรไม่รู้ เพราะไม่ได้แวะ ไปต่อเรื่อยๆ ไปถึง Geelong ระหว่างทางไป Geelong จะมีสนามบิน Avalon เป็นที่ ที่ Jet Star มาจอดเครื่อง เข้าถึง Geelong ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสักประมาณ เจ็ดโมงเช้า ฟ้าก็ยังไม่ค่อยสว่างดี เราก็ขับผ่าน Geelong โดยใช้เส้น B100 เพื่อมุ่งหน้าไป Torquay เมืองแรก จุดเริ่มต้นของ ถนน Great Ocean Road


แล้วเราก็เริ่มเข้าสู่เส้น Great Ocean Road ระหว่างทางวิวสวยมาก วิ่งเลียบทะเลมาได้ระยะนึง เราก็เริ่มแวะ เติมพลัง หาอาหารเช้ากินกัน เราแวะกันที่เมือง Lorne เอาขนมปังและกาแฟ ใส่ท้องเติมพลัง


หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็เริ่มมีแรงพิจารณาบรรยากาศรอบๆตัว เอ... ทำไม วันนี้ อากาศมัวซัวๆ ไม่มีแดด แดดควรจะเริ่มทำงานได้แล้ว ไม่ใช่ขี้เกียจอยู่เช่นนี้ บ่นแล้ว แดดก็ยังไม่มา ... เอาล่ะ หลังจากอิ่มท้อง เราก็ออกเดินทาง ไปตามเส้น Great Ocean Road ต่อไป โชว์รูปดีกว่า เน้นรูป ใส่รูปเข้าไปเยอะ จะได้เขียนน้อยๆ :P


คิดว่าถ้าคิมมา คิมคงจะชอบ เพราะมีอะไรให้ถ่ายเยอะมาก สามารถจอดรถถ่ายรูปได้เกือบจะทุกๆ ห้านาที


เรามีความรู้สึกว่า ต้นไม้ที่นี่ กิ่งก้านมันดูแปลกตาอยู่ หลังจากเห็นหลายๆต้นเข้า พร้อมกับสัมผัสบรรยากาศของลมที่นั่น เราก็เข้าใจว่า ทำไมต้นไม้มันถึงมีอาการเหมือนมีใครเอาเจลใส่ผมหัวตั้งมาป้ายมันอยู่ตลอดเวลา ... ก็อ่ะนะ ลมแรงมากๆขนาดนั้น มันเจอทุกวัน มันก็เลยอยู่ทรง อย่างที่เห็น

เอาล่ะ ขับต่อ Stop แรกที่เราคิดกันว่า น่าจะหยุดดูคือ Light House ที่อยู่ที่ Cape Otway พอขับจาก Great Ocean Road มาเรื่อยๆ พอเห็นเส้น C157 เราก็เลี้ยวขวา เพื่อจะไป Cape Otway ทางในละแวกนี้เป็นป่า กลิ่นป่าชัดเจนมาก ถึงกับเปิดหน้าต่างเพื่อสูดกลิ่นอากาศดีๆกันเลยทีเดียว อยากรู้ว่าป่าขนาดไหน ก็ตามรูปข้างล่าง


ระหว่างขับตามเส้นทางนี้ ก็จะได้เห็น จิงโจ้ (ไอ้จิงกะโจ้นี่ไม่ได้เห็นเอง แต่มีน้องคนนึงในรถบอกว่าเห็น เราก็เชื่อตามเค้าละกันนะเอาเป็นว่า มีจิงโจ้ออกมาโชว์ตัวระหว่างทาง) ขับต่อไปอีกหน่อยก็ เอ๊ะ เค้าจอดทำไรกัน ถ่ายไรกันฟะ เสร็จแล้วก็มีน้องคนเดิมที่เห็นจิงโจ้ ตะโกนมาจากด้านหลัง เอ๊ะ นั่น โคอาล่า หมีขี้เกียจ คนขับของเราก็แตะเบรคหาที่จอดเพื่อให้เราลงไปสำรวจว่า มีโคอาล่า จริงหรือเปล่า ปรากฎว่ามีจริง มันมานอนโชว์ตัวกันตามต้นไม้ มีอยู่หลายตัวดาษดื่นเหมือนกัน แถวนั้น เราเล่นกันแบบ photo hunt เลยทีเดียวว่า ต้นไหนมีอีก จริงๆการได้เห็นหมีโคอาล่าแบบนี้ ทำให้ หมีโคอาล่าที่อยู่ที่สวนสัตว์กลายเป็นสิ่งไม่น่าไปดูอีกต่อไป การดูหมีโคอาล่าแบบนี้สนุกดีกว่า เพราะมีกิจกรรม koala hunt มาประกอบ



และเชื่อมั้ยว่า เราได้เห็นหมีโคอาล่าเดินได้ ... อ่ะ จริงๆ เดินตามถนนแหวกป่ามาเลยทีเดียว ... ไม่เชื่อ ดูรูป



จากหมีโคอาล่ามาไม่นานเราก็มาถึง Cape Otway Light Station จอดรถ จ่ายค่าผ่านทางประมาณคนละ 12 เหรียญ อ่านจากคู่มือประกอบการเที่ยว เค้าบอกว่าประภาคารที่นี่เป็น ประภาคารที่อยู่บนแผ่นดิน (mainland) ที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย เป็นวิวที่น่ารักมากนะ ประภาคารสีขาว ริมทะเล ทางเดินไปประภาคารสีขาว ... ชอบอ่ะ ... สวยดี ...





จะบอกว่า หลังจากจอดรถลงเดินได้ไม่ถึง สิบนาที ฝนก็เทโครมลงมาอย่างไม่เกรงใจใคร วิ่งหนีหลบเข้าที่ร่มแทบไม่ทัน แต่โชคก็ยังเข้าข้าง ด้วยความที่ว่า ลมที่นั่นแรงมาก ทำให้เมฆฝนถูกพัดพาผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว เราก็เลยมีโอกาสได้เดินเล่นและถ่ายรูปประภาคารได้อย่างที่เห็นและนี่คือวิวจากบนประภาคาร



เอาล่ะ ออกจากประภาคาร ที่ Otway เราก็ย้อนกลับมาใช้เส้นทาง Great Ocean Road เหมือนเดิม ระหว่างทางก็มีวิวสวยๆมากมาย จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือ Princetown เพื่อดู 12 Apostles



เค้าว่ากันว่า อีกไม่นาน มันอาจจะไม่เหลือให้เราดูแล้วก็เป็นได้ ที่มันชื่อ 12 Apostles เพราะเมื่อก่อนมันมีแบบนี้ทั้งหมด 12 ก้อน แต่ตอนนี้เหลือแค่แปดละ ถล่มไปสี่ สงสัยล่ะสิ ไอ้ก้อนๆ ที่ว่า หน้าตามันเป็นไง ดูรูปเลยดีกว่า ดูรูป ดูรูป



อากาศที่ 12 Apostles หนาวมาก ลมแรงสุดๆ เราเลยไม่สามารถมีรูปดีๆ ที่นั่นได้ เนื่องจากถูกลมพัดหัวกระเจิง ผมเผ้าดูวุ่นวาย คราวหน้าถ้าใครจะไป แนะนำให้พกเสื้อกันลมไปด้วย ท่าจะดีเลยทีเดียว ลมแรงสุดๆ

วันที่เราไปอย่างที่บอกว่า อากาศขมุกขมัว ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเท่าที่ควร รูปที่ออกมาเลยไม่ค่อยงามเท่าไหร่ แต่ขนาดอากาศขมุกขมัว วิวยังสวยขนาดจับมาภาพมาให้ดูได้ไม่เท่าของจริง แล้ววันที่ฟ้าดีๆ จะขนาดไหนหนอ โอ้! ลืมบอกไป ที่นี่เค้ามีให้เช่า เฮลิคอปเตอร์ด้วยนะ ร้อยกว่าเหรียญต่อ สิบห้านาที อยากลองอ่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิต ... แบมือ แล้วพูดว่า ... แม่ ขอตังค์หน่อยค่าเฮลิคอปเตอร์(ไม้ไผ่)... อิ อิ อิ


มาถึง 12 Apostles ก็ปาเข้าไปสามโมงกว่าแล้ว อาหารเที่ยงยังไม่ได้ตกถึงท้อง สมาชิกของเราเริ่มออกอาการอยากเติมพลัง ตอนแรกเราตั้งใจกันไว้ว่า จะมาหาอะไรกินกันที่ 12 Apostles แต่พอมาถึง ผิดหวังมากๆ เพราะแถวนี้ ช่างไม่มีอะไรจะกิน เอาละ ไม่ย่อท้อ หาที่กินต่อไป

จุดต่อไปที่เราแวะคือ Loch Ard Gorge เกือบลืม นี่ไง Loch Ard Gorge



ต่อจากนั้น ก็ขับต่อไปดู The Arch หลังจากเดินไปถึงจุดชมวิว ถ่ายรูป ถ่ายรูป เมฆฝนก็ตั้งเค้ามาอย่างรวดเร็ว ก็เลยตัดสินใจ กลับรถดีกว่า แต่ ... ขณะเดินกลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง ... อารายกาน ข้าวก็ยังไม่ได้กิน นี่ต้องมาออกกำลังกายอีกเหรอเนี่ย (คือว่า พอฝนตก เราก็ต้องวิ่งจากจุดชมวิวกลับมาที่รถ ระยะทางไกลโขอยู่ 750m ได้ละม๊าง วิ่ง วิ่ง วิ่ง)



หลังจากวิ่งสู้ฝนขึ้นรถได้ จุดมุ่งหมายต่อไป และ มุ่งมั่นมาก ... คือ หาของกิน หิว หิว หิว ... กินมื้อแรก ตอนตีห้าครึง ผ่านมาจะสี่โมงแล้ว อาหารยังไม่ตกถึงท้อง เราก็เลยมุ่งหน้าเข้า Port Campbell หาอาหาร เนื่องจากเราไปถึงเป็นเวลาสี่โมงกว่า อาหารเที่ยงเค้าก็เลิกแล้ว อาหารเย็นก็ยังเร็วไปที่จะ serve ดังนั้น ที่ Port Campbell เลย ไม่ค่อยมีอาหารให้เราเลือกมากนัก สุดท้ายไปจบที่ร้าย fish&chip พร้อมกะ fries กล่องใหญ่ยักษ์ กินยังไงก็ไม่ลด อร่อยดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าอร่อยจริง หรือว่าเป็นเพราะหิวกันแน่ จะว่าไป ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาให้ดูอ่ะ เนื่องจากตอนนั้นหิวจัดๆ มีแต่รูปร้านอาหาร และ ก็ดูรูปวิวที่ Port Campbell ไปก่อนละกัน ลืมบอกไปว่า พอถึง Port Campbell แดดก็ออก




หลังจากเติมพลังให้ตัวเอง เรากะแวะเติมพลังให้รถ ก่อน มุ่งหน้าไป stop สุดท้าย London Bridge is falling down ... falling down ช่ายแล้ว จุดสุดท้ายก่อนหันหัวรถกลับคือ ไปดู London Bridge นั่นเอง ... อ่ะ ไม่พูดมาก ดูรูปเลยละกัน




พอจบจากการชมวิวที่ London Bridge เราก็หันหัวกลับมุ่งหน้าสู่แมวเบิ้นอีกครั้ง ระหว่างทางกลับ ท้องฟ้าสีสวยมาก เราเจอรุ้งกัน ประมาณ สี่ถึงห้าตัวได้ เห็นแรกๆ ก็ เฮ้ย รุ้ง รุ้ง ๆ ... เห็นตัวที่ สาม สี่ และ ห้า ความตื่นเต้นเริ่มลดน้อยลง นี่ไง รูปถนนขากลับ



ฟ้าเป็นสีฟ้าเลยทีเดียว เส้นทางขากลับนั้น เราวิ่งตัดเข้าทาง Highway ไม่ย้อนกลับ Great Ocean Road เส้นทางเดิมแล้ว ขอวิ่งสบายๆ กลับเมลเบิร์นเร็วๆ ซึ่งถนนขากลับนั้น น่าซิ่งกลับบ้านมาก ทางลงเขายาวๆ แต่เนื่องจาก Speed Limit ที่นี่ ขับได้ไม่เกิน 100 km/h และได้ยินว่า กฎหมายที่นี่โหดมาก กล้องติดเต็มถนนไปหมด เราเลยต้องค่อยๆคลานกลับบ้านอย่าง ชิลๆ ดูวัว ดูถนน ดูฟ้า ดูวิวกันไปเรื่อย จนมาจบการเดินทางของเรา ตอนสามทุ่มครึ่ง ที่เมลเบิร์น :)

วันนี คน post เหนื่อยแล้ว ขอหนีไปนอนก่อนดีกว่า ไว้ถ้าพรุ่งนี้ว่างๆ จะเข้ามา Up ใหม่ เอาเป็นว่า ตอนหน้าขอนำเสนอ ตัวเมือง Melbourne City บ้างดีกว่า ... ราตรีสวัสดิ์ค๊าบ (-/\-)

บี ณ ดินแดน ... ดาวน์อันเดอร์ ตอนที่ 1

ไม่น่าเชื่อว่า เผลอแป๊บๆ ก็มาอยู่ เมลเบิร์น ณ ออสเตรเลียมาได้เป็นเวลา หนึ่งเดือนแล้ว สองอาทิตย์แรก นับตั้งแต่เหยียบดินแดนเมลเบิร์น นับว่าเหนื่อยอยู่ กับการหาที่พัก กว่าจะได้ ลุ้นระทึก เดินแล้ว เดินอีก เดิน เดิน มันเกือบทั่ว central melbourne การหาที่พักที่นี่ นอกจากต้องอาศัยน้ำเงินแล้ว ยังต้อง อาศัยโชคชะตาอีกตะหาก ว่า เจ้าของบ้านเค้าจะถูกชะตากับเราหรือเปล่า เค้าจะให้เราเช่ามั้ย หรือจะให้คนอื่น ... เหนื่อยอยู่

หลังจากหมดยุคการตะลอนหาที่พัก ก็มีโอกาส ได้ ไปเดินเล่น ทีแรกที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวคือ St. Kilda Beach เป็นเมืองติดทะเลเมืองเล็กๆของเมลเบิร์น ถ้าไปวันอาทิตย์ก็จะมีขายของเล็กๆน้อยริมทางเดิน ตลอดทาง


สิ่งที่ประทับใจที่ st. kilda คืออะไรน่ะเหรอ คือ bruch นั่นเอง brunch ที่นี่อร่อยมั่กๆ ที่เคยกินคือ ร้าน flix มั๊ง ถ้าจำไม่ผิด รับ french toast + beacon เพิ่ม spinach เข้าไป ... อร่อยเด็ดๆ ... ติดใจสุด นี่ไง บรรยากาศภายในร้าน


หลังจากอิ่มอร่อยกับ brunch แล้ว ก็เดินเล่น ริมหาดเล็กน้อยพอเป็นพิธี ... แดดแรงมากๆ แต่ลมก็แรงมากเช่นกัน ... ถ้าเห็นอีกครั้งแล้วตัวดำขึ้นก็ไม่ต้องสงสัย เจอแดด ออสเตรเลียเยอะไปหน่อย ด้วยความที่อากาศเย็นๆ ลมดีๆ ทำให้เผลอลืมตัว เดินตะลุยแดด ทำให้ดำได้โดยไม่รู้ตัว ไม่เชื่อดูจากรูปข้างล่าง

หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารที่ st. kilda แล้ว ก็ได้เวลานั่ง tram กับมาทำกิจวัตรประจำวันอาทิตย์ นั่นก็คือ ซักผ้า รีดผ้า และ ดูดฝุ่นที่บ้านนั่นเอง

โฆษณาไว้ก่อน ว่าตอนที่ สอง เราจะนำเสนอ ... Great Ocean Road ... แล้วเจอกันใหม่ในตอนสอง