Sunday, March 18, 2007

บี ณ ดินแดน ดาวน์ อันเดอร์ ตอนที่ 2

กลับมาแล้ว post ตอนที่ 2 อย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่ถึง นาที ... อิ อิ อิ ... ก็คนมันว่างง่ะ ...

อย่างที่บอกไปแล้วว่า ตอนที่สอง เราจะนำเสนอ The great ocean road ชื่อ ก็บอกแล้วเนอะ ว่า เป็นถนน ... ถนนเส้นนี้ เลียบทะเล ขึ้นเขา ลงห้วย เป็นระยะทาง ไกลอยู่ หลายร้อยโล จำไม่ได้ว่ากี่ร้อยโล อย่าถามตัวเลข จำไม่ได้และไม่ได้จำ ... อิ อิ อิ ...

วันที่ 12 มีนาคม 2007 วันจันทร์ เป็นหยุดที่เมลเบิร์น ถ้าจำไม่ผิดคิดว่า หยุด วันแรงงาน (ได้ยินมาว่า วันแรงงานของออสเตรเลียมันไม่ใช่วันเดียวกันทั่วประเทศ น้องที่อยู่ที่แคนเบอร่า คนนึงบอกไว้ แปลกดี แปลกดี เนอะ) กลุ่มคนไทยที่มาขายแรงงาน ณ เมลเบิร์น จำนวนสี่ชีวิต ก็เลยได้จัดประชุมและตกลง ตัดสินใจว่า เราจะไปเช่ารถขับไปเที่ยวกันที่ great ocean road ได้ยินข่าวเล่าลือมานานมากว่ามันสวยนักสวยหนา ต้องไปทัศนาให้ได้ครั้งนึงในชีวิต เราก็นัดกันเลย เช่ารถหนึ่งคันจาก avis รถที่เราได้เป็นรถสีขาว ยี่ห้อ Hyndai ใหม่กิ๊ก นี่ไง หน้าตาน้องขาวของเรา




วันที่เราออกเดินทางคือวันที่ 11 มีนาคม ล้อหมุนจาก Elizabeth St. หน้า Sommerset Apartment เวลา หกโมงเช้า เลี้ยวซ้ายเข้า Londales st เลี้ยวซ้ายอีกที ออกที่ Kings St. มุ่งหน้าไปตาม West Gate High Way ยึดตาม M1 ไปเรื่อย ผ่าน Werribee เมืองนี้มีไรไม่รู้ เพราะไม่ได้แวะ ไปต่อเรื่อยๆ ไปถึง Geelong ระหว่างทางไป Geelong จะมีสนามบิน Avalon เป็นที่ ที่ Jet Star มาจอดเครื่อง เข้าถึง Geelong ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสักประมาณ เจ็ดโมงเช้า ฟ้าก็ยังไม่ค่อยสว่างดี เราก็ขับผ่าน Geelong โดยใช้เส้น B100 เพื่อมุ่งหน้าไป Torquay เมืองแรก จุดเริ่มต้นของ ถนน Great Ocean Road


แล้วเราก็เริ่มเข้าสู่เส้น Great Ocean Road ระหว่างทางวิวสวยมาก วิ่งเลียบทะเลมาได้ระยะนึง เราก็เริ่มแวะ เติมพลัง หาอาหารเช้ากินกัน เราแวะกันที่เมือง Lorne เอาขนมปังและกาแฟ ใส่ท้องเติมพลัง


หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็เริ่มมีแรงพิจารณาบรรยากาศรอบๆตัว เอ... ทำไม วันนี้ อากาศมัวซัวๆ ไม่มีแดด แดดควรจะเริ่มทำงานได้แล้ว ไม่ใช่ขี้เกียจอยู่เช่นนี้ บ่นแล้ว แดดก็ยังไม่มา ... เอาล่ะ หลังจากอิ่มท้อง เราก็ออกเดินทาง ไปตามเส้น Great Ocean Road ต่อไป โชว์รูปดีกว่า เน้นรูป ใส่รูปเข้าไปเยอะ จะได้เขียนน้อยๆ :P


คิดว่าถ้าคิมมา คิมคงจะชอบ เพราะมีอะไรให้ถ่ายเยอะมาก สามารถจอดรถถ่ายรูปได้เกือบจะทุกๆ ห้านาที


เรามีความรู้สึกว่า ต้นไม้ที่นี่ กิ่งก้านมันดูแปลกตาอยู่ หลังจากเห็นหลายๆต้นเข้า พร้อมกับสัมผัสบรรยากาศของลมที่นั่น เราก็เข้าใจว่า ทำไมต้นไม้มันถึงมีอาการเหมือนมีใครเอาเจลใส่ผมหัวตั้งมาป้ายมันอยู่ตลอดเวลา ... ก็อ่ะนะ ลมแรงมากๆขนาดนั้น มันเจอทุกวัน มันก็เลยอยู่ทรง อย่างที่เห็น

เอาล่ะ ขับต่อ Stop แรกที่เราคิดกันว่า น่าจะหยุดดูคือ Light House ที่อยู่ที่ Cape Otway พอขับจาก Great Ocean Road มาเรื่อยๆ พอเห็นเส้น C157 เราก็เลี้ยวขวา เพื่อจะไป Cape Otway ทางในละแวกนี้เป็นป่า กลิ่นป่าชัดเจนมาก ถึงกับเปิดหน้าต่างเพื่อสูดกลิ่นอากาศดีๆกันเลยทีเดียว อยากรู้ว่าป่าขนาดไหน ก็ตามรูปข้างล่าง


ระหว่างขับตามเส้นทางนี้ ก็จะได้เห็น จิงโจ้ (ไอ้จิงกะโจ้นี่ไม่ได้เห็นเอง แต่มีน้องคนนึงในรถบอกว่าเห็น เราก็เชื่อตามเค้าละกันนะเอาเป็นว่า มีจิงโจ้ออกมาโชว์ตัวระหว่างทาง) ขับต่อไปอีกหน่อยก็ เอ๊ะ เค้าจอดทำไรกัน ถ่ายไรกันฟะ เสร็จแล้วก็มีน้องคนเดิมที่เห็นจิงโจ้ ตะโกนมาจากด้านหลัง เอ๊ะ นั่น โคอาล่า หมีขี้เกียจ คนขับของเราก็แตะเบรคหาที่จอดเพื่อให้เราลงไปสำรวจว่า มีโคอาล่า จริงหรือเปล่า ปรากฎว่ามีจริง มันมานอนโชว์ตัวกันตามต้นไม้ มีอยู่หลายตัวดาษดื่นเหมือนกัน แถวนั้น เราเล่นกันแบบ photo hunt เลยทีเดียวว่า ต้นไหนมีอีก จริงๆการได้เห็นหมีโคอาล่าแบบนี้ ทำให้ หมีโคอาล่าที่อยู่ที่สวนสัตว์กลายเป็นสิ่งไม่น่าไปดูอีกต่อไป การดูหมีโคอาล่าแบบนี้สนุกดีกว่า เพราะมีกิจกรรม koala hunt มาประกอบ



และเชื่อมั้ยว่า เราได้เห็นหมีโคอาล่าเดินได้ ... อ่ะ จริงๆ เดินตามถนนแหวกป่ามาเลยทีเดียว ... ไม่เชื่อ ดูรูป



จากหมีโคอาล่ามาไม่นานเราก็มาถึง Cape Otway Light Station จอดรถ จ่ายค่าผ่านทางประมาณคนละ 12 เหรียญ อ่านจากคู่มือประกอบการเที่ยว เค้าบอกว่าประภาคารที่นี่เป็น ประภาคารที่อยู่บนแผ่นดิน (mainland) ที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย เป็นวิวที่น่ารักมากนะ ประภาคารสีขาว ริมทะเล ทางเดินไปประภาคารสีขาว ... ชอบอ่ะ ... สวยดี ...





จะบอกว่า หลังจากจอดรถลงเดินได้ไม่ถึง สิบนาที ฝนก็เทโครมลงมาอย่างไม่เกรงใจใคร วิ่งหนีหลบเข้าที่ร่มแทบไม่ทัน แต่โชคก็ยังเข้าข้าง ด้วยความที่ว่า ลมที่นั่นแรงมาก ทำให้เมฆฝนถูกพัดพาผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว เราก็เลยมีโอกาสได้เดินเล่นและถ่ายรูปประภาคารได้อย่างที่เห็นและนี่คือวิวจากบนประภาคาร



เอาล่ะ ออกจากประภาคาร ที่ Otway เราก็ย้อนกลับมาใช้เส้นทาง Great Ocean Road เหมือนเดิม ระหว่างทางก็มีวิวสวยๆมากมาย จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือ Princetown เพื่อดู 12 Apostles



เค้าว่ากันว่า อีกไม่นาน มันอาจจะไม่เหลือให้เราดูแล้วก็เป็นได้ ที่มันชื่อ 12 Apostles เพราะเมื่อก่อนมันมีแบบนี้ทั้งหมด 12 ก้อน แต่ตอนนี้เหลือแค่แปดละ ถล่มไปสี่ สงสัยล่ะสิ ไอ้ก้อนๆ ที่ว่า หน้าตามันเป็นไง ดูรูปเลยดีกว่า ดูรูป ดูรูป



อากาศที่ 12 Apostles หนาวมาก ลมแรงสุดๆ เราเลยไม่สามารถมีรูปดีๆ ที่นั่นได้ เนื่องจากถูกลมพัดหัวกระเจิง ผมเผ้าดูวุ่นวาย คราวหน้าถ้าใครจะไป แนะนำให้พกเสื้อกันลมไปด้วย ท่าจะดีเลยทีเดียว ลมแรงสุดๆ

วันที่เราไปอย่างที่บอกว่า อากาศขมุกขมัว ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเท่าที่ควร รูปที่ออกมาเลยไม่ค่อยงามเท่าไหร่ แต่ขนาดอากาศขมุกขมัว วิวยังสวยขนาดจับมาภาพมาให้ดูได้ไม่เท่าของจริง แล้ววันที่ฟ้าดีๆ จะขนาดไหนหนอ โอ้! ลืมบอกไป ที่นี่เค้ามีให้เช่า เฮลิคอปเตอร์ด้วยนะ ร้อยกว่าเหรียญต่อ สิบห้านาที อยากลองอ่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิต ... แบมือ แล้วพูดว่า ... แม่ ขอตังค์หน่อยค่าเฮลิคอปเตอร์(ไม้ไผ่)... อิ อิ อิ


มาถึง 12 Apostles ก็ปาเข้าไปสามโมงกว่าแล้ว อาหารเที่ยงยังไม่ได้ตกถึงท้อง สมาชิกของเราเริ่มออกอาการอยากเติมพลัง ตอนแรกเราตั้งใจกันไว้ว่า จะมาหาอะไรกินกันที่ 12 Apostles แต่พอมาถึง ผิดหวังมากๆ เพราะแถวนี้ ช่างไม่มีอะไรจะกิน เอาละ ไม่ย่อท้อ หาที่กินต่อไป

จุดต่อไปที่เราแวะคือ Loch Ard Gorge เกือบลืม นี่ไง Loch Ard Gorge



ต่อจากนั้น ก็ขับต่อไปดู The Arch หลังจากเดินไปถึงจุดชมวิว ถ่ายรูป ถ่ายรูป เมฆฝนก็ตั้งเค้ามาอย่างรวดเร็ว ก็เลยตัดสินใจ กลับรถดีกว่า แต่ ... ขณะเดินกลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง ... อารายกาน ข้าวก็ยังไม่ได้กิน นี่ต้องมาออกกำลังกายอีกเหรอเนี่ย (คือว่า พอฝนตก เราก็ต้องวิ่งจากจุดชมวิวกลับมาที่รถ ระยะทางไกลโขอยู่ 750m ได้ละม๊าง วิ่ง วิ่ง วิ่ง)



หลังจากวิ่งสู้ฝนขึ้นรถได้ จุดมุ่งหมายต่อไป และ มุ่งมั่นมาก ... คือ หาของกิน หิว หิว หิว ... กินมื้อแรก ตอนตีห้าครึง ผ่านมาจะสี่โมงแล้ว อาหารยังไม่ตกถึงท้อง เราก็เลยมุ่งหน้าเข้า Port Campbell หาอาหาร เนื่องจากเราไปถึงเป็นเวลาสี่โมงกว่า อาหารเที่ยงเค้าก็เลิกแล้ว อาหารเย็นก็ยังเร็วไปที่จะ serve ดังนั้น ที่ Port Campbell เลย ไม่ค่อยมีอาหารให้เราเลือกมากนัก สุดท้ายไปจบที่ร้าย fish&chip พร้อมกะ fries กล่องใหญ่ยักษ์ กินยังไงก็ไม่ลด อร่อยดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าอร่อยจริง หรือว่าเป็นเพราะหิวกันแน่ จะว่าไป ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาให้ดูอ่ะ เนื่องจากตอนนั้นหิวจัดๆ มีแต่รูปร้านอาหาร และ ก็ดูรูปวิวที่ Port Campbell ไปก่อนละกัน ลืมบอกไปว่า พอถึง Port Campbell แดดก็ออก




หลังจากเติมพลังให้ตัวเอง เรากะแวะเติมพลังให้รถ ก่อน มุ่งหน้าไป stop สุดท้าย London Bridge is falling down ... falling down ช่ายแล้ว จุดสุดท้ายก่อนหันหัวรถกลับคือ ไปดู London Bridge นั่นเอง ... อ่ะ ไม่พูดมาก ดูรูปเลยละกัน




พอจบจากการชมวิวที่ London Bridge เราก็หันหัวกลับมุ่งหน้าสู่แมวเบิ้นอีกครั้ง ระหว่างทางกลับ ท้องฟ้าสีสวยมาก เราเจอรุ้งกัน ประมาณ สี่ถึงห้าตัวได้ เห็นแรกๆ ก็ เฮ้ย รุ้ง รุ้ง ๆ ... เห็นตัวที่ สาม สี่ และ ห้า ความตื่นเต้นเริ่มลดน้อยลง นี่ไง รูปถนนขากลับ



ฟ้าเป็นสีฟ้าเลยทีเดียว เส้นทางขากลับนั้น เราวิ่งตัดเข้าทาง Highway ไม่ย้อนกลับ Great Ocean Road เส้นทางเดิมแล้ว ขอวิ่งสบายๆ กลับเมลเบิร์นเร็วๆ ซึ่งถนนขากลับนั้น น่าซิ่งกลับบ้านมาก ทางลงเขายาวๆ แต่เนื่องจาก Speed Limit ที่นี่ ขับได้ไม่เกิน 100 km/h และได้ยินว่า กฎหมายที่นี่โหดมาก กล้องติดเต็มถนนไปหมด เราเลยต้องค่อยๆคลานกลับบ้านอย่าง ชิลๆ ดูวัว ดูถนน ดูฟ้า ดูวิวกันไปเรื่อย จนมาจบการเดินทางของเรา ตอนสามทุ่มครึ่ง ที่เมลเบิร์น :)

วันนี คน post เหนื่อยแล้ว ขอหนีไปนอนก่อนดีกว่า ไว้ถ้าพรุ่งนี้ว่างๆ จะเข้ามา Up ใหม่ เอาเป็นว่า ตอนหน้าขอนำเสนอ ตัวเมือง Melbourne City บ้างดีกว่า ... ราตรีสวัสดิ์ค๊าบ (-/\-)

1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ